*ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30น
+++หลังพล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิก สปช. และอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ออกมาระบุว่าการข่าวฝ่ายความมั่นคงระบุว่ามี 2 พรรคการเมืองอยู่เบื้องหลังความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้และเตรียมระดมคนโค่นล้มรัฐบาลนั้น พล.อ.ธวัชชัย ย้ำว่า ขออย่ากินปูนร้อนท้อง ขอให้อยู่เฉยๆ หากไม่ได้ทำจะเสียหายอะไร
+++พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ได้ตรวจสอบเรื่องนี้กับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แล้ว พล.อ.ธวัชชัย เป็นใครขึ้นอยู่กับใครซึ่งเป็นเรื่องของเขา แต่ทาง สมช.ตอบมาแล้ว ว่ายังไม่ได้รับข่าวก็จบ รับรายงานมาทั้งประเทศไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้น เรื่องเดิมก็เยอะอยู่แล้ว และไปขุดอีกเรื่องขึ้นมาอีก เอากันเข้าไป แล้วเศรษฐกิจมันคงดีขึ้นหรอก
+++ส่วนกองทัพเรือมีความต้องการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนมูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า คงเอาไว้ก่อน ยังไม่เข้า ครม.และยังไม่ดำเนินการ โดยระหว่างนี้กองทัพเรือสร้างการรับรู้ไปก่อน พร้อมกับศึกษาให้ชัดเจนว่าผลประโยชน์ทางทะเลมูลค่า 2 ล้านล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับการจัดหาเรือดำน้ำเหมาะสมแค่ไหน รวมถึงการมีผลต่อศักยภาพของกองทัพมากน้อยขนาดไหน ด้านการพิจารณาบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารระดับชั้นนายพลประจำปีว่า ยังไม่เริ่มทำเพราะยังมีเวลาอยู่ ไม่ได้สั่งว่าให้เหล่าทัพส่งรายชื่อมาหรือให้ใครไปดำเนินการอะไร ข่าวที่ออกมาเป็นการวิเคราะห์แคนดิเดตบุคคลที่จะขึ้นตำแหน่งสำคัญ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ไม่มี คุณไปแคนดิเดตกันเอง ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
++++ทิศทางเศรษฐกิจ ครึ่งปีหลัง นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยอมรับว่า ครึ่งปีหลังภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ต่ำกว่าครึ่งแรกของปีนี้ โดยขยายตัวเพียงร้อยละ 2.6 ทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวได้ไม่เกินร้อยละ 3 สาเหตุหลักเป็นผลมาจากการส่งออกหดตัว โดยครึ่งปีหลังคาดว่าจะติดลบร้อยละ 1.3 และคาดว่าทั้งปีจะติดลบร้อยละ 1.7 แม้ว่าภาครัฐจะเร่งการลงทุนเพียงใด คงไม่สามารถเข้าทดแทนการหดตัวของภาคส่งออกได้ โดยการบริโภคภาครัฐและการลงทุนภาครัฐในครึ่งปีหลังจะขยายตัว ร้อยละ4.2 และร้อยละ 15.3 โดยสัดส่วนการลงทุนภาครัฐมีเพียงร้อยละ 20-22 ของจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) เท่านั้น ขณะที่ภาคการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 74-75 ของจีดีพี
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะยังเร่งรัดโครงการลงทุนของรัฐ โดยเฉพาะโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ 2 ในโครงการบริหารจัดการน้ำและถนน มูลค่า 7.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้ลงนามในสัญญาแล้ว 60-70% ของมูลค่าโครงการ คาดจะสามารถเบิกจ่ายได้ในเดือนสิงหาคม ส่วนปีหน้ารัฐบาลได้อนุมัติแผนลงทุนมอเตอร์เวย์ 3 สาย และโครงการรถไฟฟ้าอีก 2-3 สาย ถือว่าเต็มที่แล้ว ถ้าเร่งให้มีการใช้จ่ายภาครัฐมากกว่านี้เครื่องยนต์อาจพังได้
ด้านนายจิรเทพ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.อยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง เพื่อประเมินผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ ธปท.จะมีการปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 5 สิงหาคมนี้
นางกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐกรอาวุโสประจำประเทศไทย กลุ่มธนาคารโลก กล่าว ว่า ปัญหาหนี้กรีซและเศรษฐกิจจีนชะลอตัวยังเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อภาคส่งออกและจีดีพีของไทย ธนาคารโลกมองว่าการส่งออกไทยปีนี้จะไม่ขยายตัว หรืออยู่ที่ 0% จากก่อนหน้านี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 0.1-0.5% และจีดีพีขยายตัวที่ 3-3.5% ดังนั้นในเดือนตุลาคมนี้ ธนาคารโลกมีแนวโน้มปรับลดประมาณการจีดีพีของไทยในปีนี้ด้วย แต่ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้ดีกว่าครึ่งปีแรก จากการเร่งเบิกจ่ายงบภาครัฐและการท่องเที่ยวยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกไทยต้องปรับตัวเพิ่มศักยภาพสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เราตกต่ำต่อเนื่องตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา
+++เรือประมงไทย นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม มีให้ขยายเวลา การออกหน่วยบริการเคลื่อนที่แบบเบ็ดเสร็จในการจดทะเบียนเรือ ใบอนุญาตการใช้เรือ อาชญาบัตร ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 15 กรกฎาคม เป็นวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ โดยการขอจดทะเบียนเรือและใบอนุญาตต้องไปทำการ จดทะเบียนที่หน่วยงานของอำเภอ ยืนยันให้สงวนอาชีพไต๋เรือและนายท้ายเรือ ต้องเป็นแรงงานคนไทยเท่านั้น จะไม่มีการผ่อนผันให้ผู้ประกอบการประมงที่ไม่มีการจดทะเบียนเรือ
+++นายจุมพล สงวนสิน อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า เรือประมงออกทำการประมงมากขึ้น ยกเว้นในพื้นที่ที่ทะเลมีคลื่นลมแรงจัดเรือขนาดเล็กหยุดออกทำการประมง เรือประมงที่หยุดทำการประมงส่วนใหญ่คือเรือที่ยังไม่มีใบอนุญาตทำการประมงหรือใบอนุญาตอื่นยังไม่ครบถ้วน โดยพบว่าส่วนมากเป็นเรือที่ใช้เครื่องมืออวนลาก อวนรุน และเครื่องมือทำการประมงปลากะตักมีรายงานว่าเรือประมงกลุ่มดังกล่าวเริ่มมีแนวคิดจะเปลี่ยนเครื่องมือเป็นเครื่องมือประมงที่ทางราชการอนุญาต และพยายามแก้ไขในส่วนที่ยังไม่ถูกต้องเพื่อให้สามารถออกทำการประมงได้ โดยมีข้อเสนออยากให้รัฐสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อใช้ปรับเปลี่ยนเครื่องมือ
+++พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขณะเดียวกันกรมการจัดหางาน (กกจ.) ได้แจ้งข้อปฏิบัติผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวในกิจการประมง 1 คน สามารถเพิ่มรายชื่อนายจ้างได้อีก 2 คน ในลักษณะการยืมตัวจากนายจ้างรายเดิมตามกฎเกณฑ์ที่ กกจ.กำหนด โดยต้องได้รับความยินยอมจากนายจ้างรายเดิก่อน แต่ไม่สามารถเปลี่ยนนายจ้างได้
+++เหตุสลดใจช้างป่าแก่งกระจานล้มตายปริศนาคาป่าถึง 3 ตัวรวดครั้งนี้ กลางป่าในพื้นที่ของอาศรมบูรพา หมู่ 1 บ้านเฉลิมเกียรติพัฒนา ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการพระราชดำริ หมู่บ้านสหกรณ์ห้วยสัตว์ใหญ่ จึงรายงานให้นายกมล นวลใย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน นำกำลังเจ้าหน้าที่อุทยานฯเดินทางไปตรวจสอบ สำหรับพื้นที่เกิดเหตุช้างป่าตายทั้ง 3 ตัว สอบพบมีการซื้อขายเปลี่ยนมือจากสมาชิกสหกรณ์ห้วยสัตว์ใหญ่ ไปเป็นของนายทุนจาก กทม. ที่มารวบรวมซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวประมาณ 200 ไร่ เพื่อทำสถานที่ปฏิบัติธรรมเป็นอาศรมของ อ.บูรพา ผดุงไทย อีกทั้งมีการขุดสระน้ำขนาดใหญ่โดยไม่มีการขออนุญาตจากกรมป่าไม้ก่อนดำเนินการ เพื่อทำเป็นพื้นที่การเกษตร สินค้าหลักคือปลูกชาใบหม่อนแบบออแกนิก และทำเป็นชาจำหน่ายในชื่อว่า “ชาละอู” +++ด้านนายนิพนธ์ โชติบาล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงหัวหน้าอุทยานฯแก่งกระจาน ล่าสุดจากการนำซากช้างป่าทั้ง 3 ตัว ส่งไปผ่าพิสูจน์ ได้รับการยืนยันจากแพทย์ว่าไม่พบสารพิษใดๆ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่นำตัวนายสรพงษ์ ยะภักดี อายุ 48 ปี ผู้ดูแลอาศรมบูรพา ที่เกิดเหตุช้างตาย และคนงานรวม 2 คน ไปสอบสวนปากคำ เบื้องต้นหนึ่งในคนงานให้การยอมรับว่าได้ต่อสายไฟฟ้าเพื่อกันสัตว์ป่าเข้ามากินและทำลายพืชไร่ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตรวจยึดสายไฟฟ้าของกลางที่ถูกนำไปซุกซ่อนไว้ ขณะนี้อยู่ระหว่างเค้นสอบเพื่อแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับผู้ที่ก่อเหตุฆ่าช้างป่าต่อไป
++++หวยออกวันนี้ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ประธานกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานสลากฯ ได้ส่งรายชื่อผู้ค้าสลากฯ รายกลางถึงรายใหญ่ จำนวน 8 ราย ให้กับกรมสรรพากรดำเนินการตรวจสอบบัญชีรายได้ย้อนหลัง ซึ่งรวมกับก่อนหน้านี้อีก 3 ราย เป็นทั้งสิ้น 11 ราย เนื่องจากตรวจพบผู้ค้าดังกล่าวมีการจำหน่ายสลากเกินราคาที่กำหนดไว้ที่ 80 บาทต่อฉบับ โดยผู้ค้าอยู่ในเขตภาคกลางทั้งหมด ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่าผู้ค้าเหล่านี้จะถูกตัดสิทธิ์ในการรับโควตาสลากฯ รอบใหม่ด้วย แนวทางในการจัดสรรโควตารอบใหม่ ยืนยันจะมีความเป็นธรรมและกระจายสลากให้ผู้ค้าทั่วประเทศอย่างเท่าเทียม และภายในเดือนกันยายนนี้ สำนักงานสลากฯ จะมีการประกาศแนวทางการแก้ไขปัญหาสลากฯ อย่างยั่งยืนในระยะที่ 2