นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ. สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์การค้าสินค้าตลาดชาโลกและไทย พบว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การบริโภคชาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 เกิดปรากฏการณ์กระแสนิยมบริโภคชาเขียวและมัทฉะจากสื่อโซเชียลมีเดีย ทำให้มัทฉะแท้คุณภาพสูงหาซื้อได้ยากและมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก
จากข้อมูลของ International Tea Committee ชี้ว่าสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้ผลผลิตชาลดลง ในขณะที่ความต้องการสินค้าชาทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งผู้บริโภคบางกลุ่มมีค่านิยมว่ามัทฉะเป็นเสมือน 'กาเฟอีนสะอาด (Clean Caffeine)' สามารถดื่มทดแทนกาแฟ สอดคล้องกับเทรนด์รักสุขภาพ สำหรับการผลิตมัทฉะจะต้องอาศัยสายพันธุ์พืชเป็นหลัก และยังต้องมีกรรมวิธีการผลิตที่ประณีต รวมถึงใช้แรงงานทักษะฝีมือที่มีประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะอีกด้วย
บริษัทวิจัยตลาดโลก Euromonitor รายงานว่า ในปี 2567 ตลาดค้าปลีกชาทั่วโลก มีมูลค่า 51,470 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 3.5% จากปีก่อนหน้า โดยชาดำมีสัดส่วน 41.3% ของมูลค่าการค้าปลีกชาทั่วโลก รองลงมา คือ ชาเขียว (22.8%) และชาผลไม้/สมุนไพร (19.5%)
ทั้งนี้ คาดว่าตลาดค้าปลีกชาโลกจะขยายตัวเฉลี่ย 6.1% ต่อปี โดยในปี 2572 จะมีมูลค่าการค้าปลีกชาอยู่ที่ 69,220.10 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการส่งออกชาและผลิตภัณฑ์ชาของโลก พบว่า ในปี 2567 การส่งออกมีมูลค่ารวม 9,200.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 1.9% รายละเอียด ดังนี้
ชาดำ 5,650.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 3.0%
ชาเขียว 2,023.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 7.3%
ผลิตภัณฑ์ชา (เช่น สิ่งสกัดจากชา ชาที่ผสมได้ทันที) 1,526.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 11.9%
ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในปี 2567 ไทยมีผลผลิตชา 106,643 ตัน เพิ่มขึ้น 0.3% จากปีก่อนหน้า ประเทศไทยมีการปลูกชาอัสสัมเป็นหลัก (93.0%) และคาดการณ์ว่าผลผลิตในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 107,393 ตัน โดยภาคเหนือเป็นแหล่งปลูกชาที่สำคัญของประเทศ
นอกจากนี้ Euromonitor รายงานว่า ในปี 2567 ตลาดค้าปลีกชาของไทย มีมูลค่า 2,262.7 ล้านบาท ขยายตัว 4.2% จากปีก่อนหน้า โดยชาเขียวมีมูลค่าสูงสุดถึง 1,040 ล้านบาท มีสัดส่วน 46.3% ของตลาดชาไทย รองลงมา คือ ชาผลไม้และชาสมุนไพร (23.0%) และชาดำ (13.5%)
ทั้งนี้ คาดว่าตลาดชาไทยจะขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ย 2.2% ต่อปี ไปจนถึงปี 2572 ขณะที่มูลค่าตลาดชาพร้อมดื่มของไทย อยู่ที่ 16,834.7 ล้านบาท ขยายตัว 6.8% จากปีก่อนหน้า แสดงถึงแนวโน้มความต้องการชาที่พร้อมดื่มและสะดวกสบายเพิ่มขึ้น
การส่งออกชาและผลิตภัณฑ์ชาของไทย ในปี 2567 มีมูลค่า 70.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,459.4 ล้านบาท) มูลค่าการส่งออกขยายตัว 13.6% จากปีก่อนหน้า (ปี 2566 ส่งออกเป็นมูลค่า 61.8 ล้านเหรียญสหรัฐ) ดังนี้
ชาดำ ส่งออก 2,460.7 ตัน มูลค่า 13.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 38.9%
ชาเขียว ส่งออก 1,791.1 ตัน มูลค่า 14.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 65.2%
ผลิตภัณฑ์ชา ส่งออก 10,382.6 ตัน มูลค่า 42.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 2.5%
การนำเข้าชาและผลิตภัณฑ์ชาของไทย ในปี 2567 มีมูลค่า 51.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,807.7 ล้านบาท) มูลค่าการนำเข้าขยายตัว 13.6% จากปีก่อนหน้า (ปี 2566 นำเข้าเป็นมูลค่า 45.0 ล้านเหรียญสหรัฐ) ดังนี้
ชาดำ นำเข้า 13,462.5 ตัน มูลค่า 16.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10.9%
ชาเขียว นำเข้า 6,451.3 ตัน มูลค่า 11.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 16.8%
ผลิตภัณฑ์ชา นำเข้า 1,381.2 ตัน มูลค่า 22.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 13.4%
ในภาพรวมไทยเกินดุลการค้าในสินค้ากลุ่มชาและผลิตภัณฑ์ชา ทำให้เห็นถึงโอกาสทางการค้าที่ไทยสามารถพัฒนาศักยภาพการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงลดการพึ่งพาการนำเข้า
ในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค. - ส.ค.) ของปี 2568 ไทยส่งออกชาและผลิตภัณฑ์ชา เป็นมูลค่า 53.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,762.6 ล้านบาท) ขยายตัว 21.4% โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ กัมพูชา ลาว สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย เวียดนาม มีสัดส่วน 15.3% 14.9% 12.1% 10.7% และ 8.8% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าชาและผลิตภัณฑ์ชาทั้งหมดของไทย ตามลำดับ
ข้อมูลเพิ่มเติม: http://https://tpso.go.th/news/2509-0000000011
#ชาไทย
Cr:สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า