พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า สหภาพยุโรป (อียู) ได้ประกาศขึ้นทะเบียนกาแฟดอยตุงและกาแฟดอยช้างของไทยเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2558 และจะมีผลบังคับในอีก 20 วัน หรือวันที่ 3 ส.ค. 2558 ซึ่งจะส่งผลให้กาแฟดอยตุงและกาแฟดอยช้างของไทยเป็นสินค้าจีไอลำดับที่ 2 และ 3 ที่ได้ขึ้นทะเบียนจีไอใน อียู ต่อจากข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ที่ได้รับขึ้นทะเบียนจีไอในอียูไปก่อนหน้านี้ การได้ขึ้นทะเบียนสินค้าจีไอในอียู จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทั้ง 2 ชนิด และจะช่วยทำให้มียอดขายในอียูเพิ่มขึ้นด้วย เพราะปัจจุบัน ผู้บริโภคในอียูให้ความสำคัญกับสินค้าจีไอมากขึ้น เพราะเป็นสินค้า ที่มีลักษณะเฉพาะประจำท้องถิ่น แตกต่างจากสินค้าเดียวกันที่ผลิตได้ในพื้นที่อื่น
ไทยได้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนกาแฟดอยตุงและกาแฟดอยช้างกับทางอียูเมื่อเดือนพ.ค. 2553 โดยอียูได้ตรวจสอบและประกาศโฆษณาคำขอของไทยเมื่อปี 2557 และเมื่อไม่มีผู้คัดค้านภายใน 6 เดือน อียูจึงได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าจีไอให้กับไทย ส่งผลให้กาแฟดอยตุงและกาแฟดอยช้างของไทยสามารถใช้ตราจีไอของอียูในการทำตลาดได้ เนื่องจากผู้บริโภคในสหภาพยุโรปส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับตราจีไอ ที่แสดงถึงลักษณะพิเศษและคุณภาพของสินค้า และยอมจ่ายเงินในราคาที่สูงขึ้นเพื่อบริโภคสินค้าดังกล่าว สินค้าที่ได้ขึ้นทะเบียนจีไอ เป็นสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากสินค้าเดียวกันที่ผลิตในพื้นที่อื่น โดยจะมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สามารถเชื่อมโยงกับแหล่งภูมิศาสตร์ คือ สภาพดิน น้ำ และอากาศ ในพื้นที่ ซึ่งผลิตสินค้าจีไอนั้นได้ โดยธรรมชาติ และปัจจัยจากมนุษย์มีส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการผลิตกาแฟดอยตุงและกาแฟดอยช้าง
ทั้งนี้ ในปี 2557 ไทยส่งออกกาแฟไปตลาดโลกในปริมาณ 700 ตัน มูลค่า 3.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการส่งออกไปอียู 0.374 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือร้อยละ 10 ของการส่งออกกาแฟโดยรวมของไทย โดยกาแฟดอยช้างส่งออกปีละประมาณ 400 ตัน ไป แคนาดา อังกฤษ อิตาลี มาเลเซีย เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย และกาแฟดอยตุงส่งออกไปญี่ปุ่น
CR:แฟ้มภาพ