นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการทัวร์ไทยคนละครึ่ง เป็นการสนับสนุนให้คนไทยที่ส่วนใหญ่มักจะเดินทางเอง หันมาใช้บริการบริษัททัวร์มากขึ้น โดยบริษัททัวร์จะนำเสนอแพคเกจเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่มี Wow Factor อาทิ ทัวร์อาหาร, ทัวร์สายศรัทธา, ทัวร์สายสุขภาพ หรือประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบอันซีน ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนค่าแพคเกจทัวร์ 50% นักท่องเที่ยวจ่ายเพียงครึ่งเดียวจากราคาเต็ม โดยงบประมาณจะใช้เงินคงเหลือจากก้อน 1,750 ล้านบาทที่ใช้กับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งเดิม ซึ่งยังมีงบคงเหลืออยู่ ไม่มีการของบประมาณเพิ่มเติม โดยจะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติโครงการและระยะเวลาการใช้เงินใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีโปรโมชั่นและแพคเกจใหม่สำหรับคนไทยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2568 นี้
เป้าหมายสำหรับในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 (ตุลาคม – ธันวาคม) ถือเป็นความหวังของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปกติ โดย ททท.มีการปรับกลยุทธ์และแผนงานเพื่อรับมือกับปัจจัยกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดปี เน้นการดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพเพื่อเพิ่มรายได้ โดยเฉพาะจากตลาดยุโรป ตะวันออกกลาง สหรัฐ แอฟริกาใต้ และเอเชียใต้ ซึ่งกำลังเติบโตดี ส่วนตลาดจีนที่มีความสำคัญ เพื่อกระตุ้นเข้ามาเที่ยวไทย โดยจะจัดกิจกรรมกระตุ้นตลาดและสร้างความมั่นใจ อาทิ แคมเปญ “Thailand Sure” ซึ่งจะเปิดตัวในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ จัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์และส่งเสริมการเดินทางช่วงโกลเด้นวีค (26 กันยายน – 8 ตุลาคม) เชิญอินฟลูเอนเซอร์จีนมากกว่า 100 ท่าน เข้ามาเที่ยวไทย โดยคาดการณ์นักท่องเที่ยวจีนในช่วงโกลเด้นวีค จะมีจำนวนประมาณ 180,000 คน แต่จากแนวโน้มมองว่า น่าจะมีเข้ามาเกิน 200,000 คน โดยตั้งเป้าว่าควรจะได้นักท่องเที่ยวจีนอย่างน้อยวันละ 20,000 คน ซึ่งรวมแล้วประมาณ 240,000 คน
ด้านนางสาวรุ่ง กาญจนวิโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผน ททท. กล่าวว่า ททท.คาดการณ์ล่าสุดว่าตลอดปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยทั้งสิ้น 33.4 ล้านคน ลดลง 6% เทียบกับปี 2567 จากการลดลงของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออก ติดลบ 25% ขณะที่ภูมิภาคอาเซียนติดลบ 8% ส่วนภูมิภาคที่มีการเติบโต ได้แก่ เอเชียใต้ เพิ่มขึ้น 15%, ยุโรป เพิ่มขึ้น 15%, อเมริกา เพิ่มขึ้น 8%, โอเชียเนีย เพิ่มขึ้น 8% และตะวันออกกลาง เพิ่มขึ้น 4% ส่วนคาดการณ์รายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้น่าจะลดลง 5% เทียบกับปีที่แล้ว เป็นอัตราใกล้เคียงกับการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ความท้าทายของภาคการท่องเที่ยวไทย ประเด็นความปลอดภัยและข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ นอกจากนี้ยังมีประเด็นแหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรมและการบริการไม่ได้มาตรฐาน ขาดโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยว และพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยน ขณะที่การแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านและจุดหมายปลายทางอื่นๆ ที่สำคัญ พบว่าประเทศจีนกลายเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามอง เพราะราคาไม่ได้แพง มีสินค้าและบริการหลากหลาย มีแหล่งท่องเที่ยวสดใหม่ สะอาด ปลอดภัย มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี รองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟไอที) ได้ดีมากขึ้น
ประเทศไทยในตอนนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเก่าในสายตานักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ จึงถึงเวลาที่ต้องปรับปรุงสร้างภาพลักษณ์ใหม่ในปี 2569 ด้วยแนวคิด นิว ไทยแลนด์ (New Thailand) เพื่อให้ประเทศไทยดูสดใหม่มากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังชูแนวคิด Value over Volume เน้นทั้งมิติคุณภาพ คุณค่า ปลอดภัย และยั่งยืน
คู่แข่งที่สำคัญของไทยในตอนนี้ เป็นประเทศเวียดนาม เพราะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวไปเยือนจำนวนมาก จากการใช้กลยุทธ์ตัดราคา ประกอบกับเวียดนามเองก็มีแหล่งท่องเที่ยวแบบมนุษย์สร้าง (Man-made Attraction) มาเสริมแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีอยู่เดิม และประเทศญี่ปุ่น คู่แข่งตลอดกาลของประเทศไทย โดยญี่ปุ่นวางตำแหน่งเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวตลาดบนหรือไฮเอนด์ ขณะที่ไทยวางตำแหน่งเจาะตลาดกลางค่อนบน
#ท่องเที่ยวไทย
#ทัวร์ไทยคนละครึ่ง