สรุปข่าว 19.35น.
+++สถานการณ์ ภัยแล้งเข้าขั้นวิกฤติ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ย้ำว่าหลังวันที่ 20 ก.ค. ถึงต้นเดือน ส.ค. สถานการณ์น้ำ อาจถึงขั้นวิกฤติ แต่รัฐบาลเตรียมช่วยเหลือแล้ว ซึ่งจะไม่ถึงขั้นเข้าไปจับกุม แต่รัฐบาลก็ขอความเข้าใจด้วย ประเมินว่าปรากฎการณ์เอลนินโญจะรุนแรงมาก สิ่งที่กังวลคือเดือน เม.ย.ปีหน้าจะอยู่กันอย่างไร ทั้งอุปโภค บริโภค และการเกษตร ดังนั้นในระยะยาว คนไทยต้องตระหนัก คน กทม.ต้องใช้น้ำอย่างระมัดระวัง และคนในพื้นที่ทั่วไปต้องระวังไม่ใช้น้ำอย่างประมาท ยืนยันว่า กทม.อยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องกักตุน อยู่ได้ถึง ส.ค. แต่อาจมีได้บางพื้นที่ต้องปล่อยน้ำเป็นบางเวลา หรือบางพื้นที่อาจไหลอ่อน และขอเตือนผู้ที่ฉวยโอกาสขึ้นราคาน้ำดื่ม หรือถังน้ำ ไม่ใช่แนวทางที่คนไทยควรทำ ไม่ควรสร้างวัฒนธรรมแบบนี้ ส่วนผลกระทบด้านภาคอุตสาหกรรมนั้น ภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ได้ เพราะอยู่แถวภาคตะวันออก และมีระบบสำรองอยู่แล้ว ภาคอุตสาหกรรมต้องดูแลตัวเอง
+++ด้านนายปิติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปีนี้ฝนตกต่ำกว่าปกติร้อยละ 50 จึงเป็นเหตุผลที่ต้องปรับกระบวนการส่งน้ำ ส่วนภาคเกษตร ยึดสร้างรายได้หลังฝนตก คือสร้างรายได้จากการเพาะปลูกพืชที่เหมาะสมในเวลานั้น และหาตลาดให้ รวมถึงการสร้างรายได้จากรายได้ชุมชนที่ประกอบอาชีพเกษตรร่วมกัน อย่างไรก็ตามเป็นห่วงว่าภัยแล้งปีนี้จะมีผลกระทบไปจนถึงฤดูกาลเพาะปลูกปีหน้า การบริหารจัดการน้ำในครั้งนี้ต้องคิดถึงสภาพน้ำที่มีอยู่ และเวลาฝนตก โดยสมมติฐานว่าฝนตกประมาณเดือน ส.ค. ถ้าเหตุการณ์ไม่ดีกว่านี้ต้องหามาตรการต่อไป เพราะเราไม่สามารถควบคุมดินฟ้าอากาศได้ ปัญหาหนักคือลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่มีพื้นที่เพาะปลูก 7 ล้านไร่
+++การประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ที่ประชุมติดตามความคืบหน้าคณะทำงานตามกลุ่มภารกิจ ซึ่งขณะนี้ได้แยกบัญชีเฝ้าระวังเป็น 5 บัญชี เช่น กลุ่มที่มี-ไม่มีหมายจับเคลื่อนไหวในต่างประเทศ กลุ่มที่เคลื่อนไหวในประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 135 ราย และ 5 กลุ่มแนวร่วม ซึ่งอยู่ระหว่างการประเมินจำนวนและพฤติการณ์การกระทำผิดลักษณะเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายหรือขบวนการเคลื่อนไหวกระทำความผิดอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน รมว.ยธ.ย้ำว่า เข้าใจถึงหลักกฎหมายของประเทศต่างๆที่ไม่มีความผิดในคดี 112 จึงไม่ได้คาดหวังเรื่องการส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน แต่มีความจำเป็นต้องชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างประเทศ เนื่องจากผู้ต้องหามักอ้างว่ากระทำความผิดในคดีการเมือง ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพราะความผิดตาม ม.112 ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง
+++ด้านศาลทหารพิพากษาคดี“เครือข่ายบรรพต” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในการผลิตสื่อทางออนไลน์ ผ่านการผลิตคลิปกว่า 400 คลิป ตั้งแต่ปี 2552 และการตั้งเพจและเว็บไซต์ต่างๆเพื่อเผยเเพร่ ในกลุ่มที่ให้การสารภาพ 10 คน ว่า กระทำผิดจริงแต่ทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จาก 14 คน ที่ขอต่อสู้คดี 2 คน คือ นายเงินคูณ อุดมคุณากร และ นางศิวาพร ปัญญา โดยเป็นคดีของกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.) ส่วนที่ถูกแยกฟ้องต่างหากอีก 2 คน คือ นายธารา วาณิชพงษ์พันธุ์ โดนฟ้อง 6 กรรม และนางอัญชัญ ปรีเลิศ โดนฟ้อง 29 กรรม เป็นคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ศาลพิเคราะห์แล้วว่า ให้จำเลยที่ 1-2 และ 7-12 จำคุกคนละ 10 ปี แต่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพจึงลดโทษเหลือ 5 ปี ที่ได้ผลิตและเผยแพร่ เว้นแต่จำเลยที่ 5-6 ที่ศาลให้จำคุก 6 ปี แต่สารภาพเหลือ 3 ปี โดยจำเลยที่ 3-4 ขอต่อสู้คดี ศาลจึงจำหน่ายคดีเพื่อให้อัยการศาลอาญากรุงเทพใต้ ส่งฟ้องภายใน 15 วัน
++++พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงกรณี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ถูกทางการญี่ปุ่นจับกุมข้อหาพกพาอาวุธปืนที่สนามบินนาริตะ ซึ่งอัยการญี่ปุ่นสั่งไม่ฟ้องและให้ปล่อยตัวแล้ว ว่า ต้องรอผลการตรวจสอบจากทางตำรวจก่อน ส่วนความผิดพลาดที่เกิดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น เป็นความผิดพลาดจากระบบหรือความผิดพลาดจากคน ซึ่งจะให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเชิงลึกอีกครั้ง รวมถึงการตรวจสอบซอฟต์แวร์ที่ใช้ในเครื่อง ซีทีเอ็กซ์ 9400 แต่ขณะนี้ ภาพจากเครื่องสแกนซีทีเอ็กซ์ได้มีการลบทิ้งไปแล้ว ขณะที่การบินไทยหากจะดำเนินคดีก็ต้องมีการตรวจหลักฐานและที่สำคัญ คือ สำนวนที่มีการกล่าวอ้างว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ให้ปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่นว่ามีการพกอาวุธจากไทย ซึ่งจะต้องขอคำให้การและสำนวนสอบสวนจากญี่ปุ่นอีกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างลำบาก ดังนั้น การดำเนินคดีขณะนี้คงเป็นเรื่องยาก
+++ผลวิเคราะห์ทิศทางการส่งออกของไทยในครึ่งหลังปี 58 นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่า น่าจะติดลบที่ ร้อยละ 3.8 มีมูลค่า 218,896 ล้านเหรียญฯ ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และต่ำสุดในรอบ 6 ปีนับจากปี 53 เนื่องจาก เศรษฐกิจโลกยังมีทิศทางชะลอตัว จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ และประเทศกำลังพัฒนา ปัญหาหนี้ของประเทศกรีซ ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปตลาดยุโรป ปัญหาที่จีนใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศมากขึ้น จนส่งผลให้จีนชะลอการนำเข้าและกระทบต่อการส่งออกของไทย ปัญหาราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกตกต่ำ และปัญหาภัยแล้งที่กำลังเป็นปัญหาใหม่ต่อการส่งออก หากพิจารณาส่วนแบ่งตลาด พบว่า ในปี 57 อาเซียนใหม่ (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) มีส่วนแบ่งตลาด ร้อยละ 1.12 เพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 0.97 ขณะที่ไทยมีส่วนแบ่งร้อยละ 1.33 ลดลงจากร้อยละ 1.36 ซึ่งมูลค่าการส่งออกของอาเซียนใหม่ที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ เวียดนาม ปี 57 มีมูลค่าส่งออกทั่วโลก 153,000 ล้านเหรียญฯ ขณะที่ไทยมูลค่าส่งออก 227,000 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจาก 96,000 ล้านเหรียญฯ ชี้ให้เห็นว่าไทยมีแนวโน้มเสียตลาดให้อาเซียนใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เน้นแรงงานเป็นหลัก
+++นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ที่จะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.นี้ ออกไปอีก 1 ปี เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะย่ำแย่ ทำให้รัฐบาลยังไม่สามารถเพิ่มแวตขึ้นได้ และที่ผ่านมารัฐบาลได้ส่งสัญญาณมาก่อนหน้านี้แล้ว ว่าปีงบประมาณ 59 รัฐบาลจะคงแวตอัตราเดิม โดยยังไม่ปรับเพิ่มขึ้น
+++ แหล่งข่าวระดับสูงคนหนึ่งในรัฐบาลอังกฤษว่า นายจอร์จ ออสบอร์น รัฐมนตรีคลังจะขัดขวางความเคลื่อนไหวใดๆของกลุ่มสหภาพยุโรป(อียู)ที่จะขอให้อังกฤษร่วมสมทบเงินในโครงการช่วยกู้วิกฤติครั้งที่ 3 สำหรับกรีซ ก่อนหน้านี้ นายออสบอร์นได้คุยโทรศัพท์กับรัฐมนตรีคลังหลายคนของกลุ่มอียู ก่อนการประชุมในกรุงบรัสเซลส์ในวันนี้ เพื่อย้ำจุดยืนของอังกฤษที่ไม่ประสงค์จะเข้าร่วมในโครงการช่วยกู้วิกฤติครั้งใหม่สำหรับกรีซ ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอนของอังกฤษ แถลงเมื่อปี 2553 ว่าเขาบรรลุข้อตกลงกับอียูว่า กลไกเสริมสร้างเสถียรภาพการเงินของยุโรป(อีเอฟเอสเอ็ม) กองทุนฉุกเฉินของสมาชิกทั้ง 28 ชาติในกลุ่มอียูจะไม่ถูกใช้เพื่อรับประกันการช่วยกู้วิกฤติให้กับกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร(ยูโรโซน)อีกต่อไป หลังการใช้กองทุนนั้นเพื่อช่วยกู้วิกฤติให้กับไอร์แลนด์และโปรตุเกส
+++กระทรวงสาธารณสุขของเกาหลีใต้ว่า เกาหลีใต้ไม่มีรายงานคนไข้เมอร์สรายใหม่มาแล้ว 9 วันติดกันในวันนี้ บ่งชี้ว่าวิกฤติของเมอร์สในเกาหลีใต้ใกล้จะสิ้นสุดทุกขณะ คาดว่ารัฐบาลเกาหลีใต้จะสามารถแถลงการสิ้นสุดของวิกฤติของเมอร์ได้ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม สำหรับตัวเลขผู้เสียชีวิตยังคงไม่เปลี่ยนจาก 3 วันก่อนคือ 36 ศพ ส่วนตัวเลขคนไข้เมอร์สทั้งหมดยังคงไม่เปลี่ยนแปลงคือ 186 รายมาตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม
+++ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 1,488.40 จุด ลดลง 2.25 จุด มูลค่าการซื้อขาย 30,503.55 ล้านบาท
+++ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากกรีซและกลุ่มเจ้าหนี้ยูโรโซนสามารถบรรลุข้อตกลงเมื่อวานนี้ ซึ่งจะเปิดทางให้กรีซสามารถรับความช่วยเหลือด้านการเงินรอบใหม่
เพิ่มขึ้น 295.56 จุด ปิดที่ 20,385.33 จุด
++ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดตลาดปรับตัวลดลงในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์หนี้กรีซอย่างใกล้ชิดต่อไป โดยล่าสุดนายอเล็กซิส ซิปราส นายกรัฐมนตรีกรีซ เตรียมยื่นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปรับขึ้นภาษีการขายและการลดเงินบำนาญ หลังจากที่รัฐบาลกรีซได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับกลุ่มเจ้าหนี้ยุโรปเมื่อวานนี้ให้รัฐสภาพิจารณา ลดลง 103.10 จุด ที่ 25,120.91 จุด