หลังการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)กล่าวว่าที่ประชุมโดยคณะอนุกรรมการด้านการปราบปรามได้เสนอความคืบหน้าในการดำเนินการ 3 ประเด็น คือ การยกระดับการบังคับใช้มาตรการการทางปกครองและวินัย ซึ่งเป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาในการป้องกันการทุจริตเชื่อว่าเป็นวิธีดีที่สุดในการป้องกัน หากผู้บังคับบัญชาไม่ลงโทษจะเสนอเรื่องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อได้ รวมทั้งการใช้มาตรการทางภาษีป้องกันและปราบปรามการทุจริตโดยจะนำมาใช้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชนที่เข้ามาซื้อขายกับรัฐแต่ไม่เสียภาษีหรือดำเนินการไม่ถูกต้อง เน้นมาตรการเชิงรุกให้มากขึ้น และการนำพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 กรกฎาคมนี้มาบังคับใช้ เพื่อสนับสนุนให้กฎหมายมีประสิทธิภาพขึ้นและเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน หากมีเรื่องร้องเรียนจากประชาชนแล้วเจ้าหน้าที่รัฐไม่ดำเนินการ
โดยหน่วยงานรัฐต้องจัดทำคู่มือการให้บริการกับประชาชนให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 21 กรกฎาคมรวมถึงการออกร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างที่จะครอบคลุมหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงาน เพื่อนำมาแก้ไขการทุจริตที่เกิดขึ้นคาดว่าภายในปลายปีจะผ่านร่างกฎหมายนี้ได้ โดยขณะนี้อยู่ในชั้นกฤษฎีกา ขณะที่พล.อ. อนันตพร ระบุว่ากระทรวงการคลังยังได้รายงานการเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์กรความร่วมมือรัฐบาลเปิด (Open Government Partnership: OGP) ที่จะต้องเปิดเผยรายละเอียดในโครงการต่างๆของรัฐเพื่อป้องกันการทุจริตภาครัฐโดยมีผลผูกพันธ์ไปถึงรัฐบาลในอนาคตและเชื่อว่าการเป็นสมาชิกนี้จะทำให้รัฐบาลมีความโปร่งใสมากขึ้น
ที่ประชุมเตรียมจะจัดตั้งกองทุนต่อต้านการทุจริตโดยขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดเชิงลึก คาดว่าจะเป็นการนำรายได้จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลมาดำเนินงาน ซึ่งจะได้ข้อสรุปในการประชุมครั้งต่อไป ส่วนการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐขณะนี้รัฐบาลได้ทำเว็บไซต์ data.go.th. เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลต่างๆของหน่วยงานภาครัฐ โดยหน่วยงานภาครัฐต้องเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับรู้ได้ทั่วถึงเว้นข้อมูลที่เป็นความลับ คาดว่าข้อมูลด้านการจัดซื้อจัดจ้างจะเป็นข้อมูลแรกๆที่ได้รับการเปิดเผยเร็วที่สุด ส่วนกรณีโครงการโตไปไม่โกงก็จะขยายผลต่อไปเรื่อยๆเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกคนรุ่นใหม่ให้ตระหนักถึงสิทธิตัวเอง
พล.อ. อนันตพร กาญจนรัตน์ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร) ระบุว่า ยังไม่มีรายงานการเสนอชื่อข้าราชการทุจริตรุ่นที่ 3 ส่วนข้าราชการที่ทุจริตและถูกเสนอชื่อไปสองรุ่นแรกนั้น นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดอยู่ รีบสอบสวนให้แล้วเสร็จเพื่อจะได้ทราบผลต่อไป แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและส่วนเรื่องข้อกล่าวหาของเลขาธิการสำนักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. เคยพูดคุยมาก่อนแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวในที่ประชุมว่า ได้ให้ความสำคัญกับการต่อต้านการทุจริตและเน้นย้ำให้การดำเนินการต่อต้านคอรัปชันอย่างยั่งยืน