WHO-FDA เสนอใช้โอไมครอนสายพันธุ์ XBB เป็นต้นแบบผลิต'วัคซีนโมโนวาเลนต์'

16 มิถุนายน 2566, 11:07น.


          Center for Medical Genomics ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล รายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและยาของสหรัฐ (US FDA) ประสานเสียงเสนอให้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 เปลี่ยนมาใช้โอไมครอนสายพันธุ์เดียว XBB เป็นหัวเชื้อหรือต้นแบบในการผลิต “วัคซีนโมโนวาเลนต์” พร้อมแนะนำให้ประเทศต่างๆควรเตรียมตัวเปลี่ยนมาใช้วัคซีน XBB เพื่อทันต่อการป้องกันการติดเชื้อและป้องกันการเกิดอาการรุนแรงหากติดเชื้อกลายพันธุ์ในปีหน้า พ.ศ. 2567 แทนการใช้วัคซีน 2 สายพันธุ์ (ไวรัสอู่ฮั่น+โอไมครอน BA.4/BA.5) หรือ “วัคซีนไบวาเลนต์” ซึ่งได้มีการนำมาใช้ในช่วงปีนี้ พ.ศ. 2566



          ข้อเสนอแนะจาก WHO และ FDA เป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น ประเทศต่างๆและผู้ผลิตวัคซีนพิจารณาเองว่าจะดำเนินการหรือไม่ หากดำเนินการจะใช้วัคซีนชนิดใด หรือผลิตวัคซีนด้วยโควิดสายพันธุ์ใด คำแนะนำของ WHO และ FDA ชี้อย่างชัดเจนว่าวัคซีนโควิด สายพันธุ์ XBB ชนิดโมโนวาเลนต์น่าจะเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการปกป้องผู้คนจากโควิด-19 ที่จะมีการระบาดในปีหน้า



          WHO และ US FDA แถลงว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าวิวัฒนาการของไวรัสโคโรนา 2019 ชะลอตัวหรือลดลง



          วัคซีนโควิด-19 ในอนาคตควรเป็นวัคซีนสายพันธุ์เดียว หรือวัคซีนโมโนวาเลนต์ (covid-19 monovalent vaccine) ที่กำหนดเป้าหมายไปที่โอไมครอน XBB.1.5, XBB.1.16 หรือ XBB.2.3 เนื่องจากปัจจุบันพบสายพันธุ์ย่อย XBB มากกว่า 95% ของสายพันธุ์ไวรัสที่หมุนเวียนระบาดอยู่ในสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2566



          สายพันธุ์ XBB หลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากกว่าสายพันธุ์ย่อยโอไมครอนก่อนหน้า และปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 95% ของผู้ป่วยโควิดทั่วโลก



          ในสหรัฐอเมริกา พบสายพันธุ์ XBB จำนวน 8 สายพันธุ์คิดเป็นกว่า 98% ของผู้ป่วยทั้งหมดในปัจจุบัน โดยมี 3 สายพันธุ์หลักโอไมครอน XBB.1.5 จำนวน 40% และ XBB.1.16 ประมาณ 18% และ XBB.2.3 ประมาณ 6% ตามลำดับ



          ประเทศไทยพบสายพันธุ์โอไมครอนจากฐานข้อมูลโควิดโลกจีเสส (GISAID) ระหว่าง 1 พฤษภาคม-15มิถุนายน 2566 จำนวน 658 ราย พบเป็นสายพันธุ์



โอไมครอน XBB* ประมาณ 95.6%



XBB.1.5* ประมาณ 17.5%



XBB.1.16* ประมาณ 35.6%



XBB.1.9* ประมาณ 13.5%



XBB.2.3* ประมาณ 4.7%





           โอไมครอน XBB.1.16, XBB.1.9 และ XBB.2.3 คาดว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นมาและแทนที่ XBB.1.5 ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2566



            การประเมินประสิทธิผลของวัคซีนสองสายพันธุ์ (covid-19 bivalent vaccine) ล่าสุดในผู้ใหญ่ชี้ให้เห็นว่าการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด-19 ลดลงจาก 62% ใน 2 เดือนแรกหลังการฉีดวัคซีนเหลือเพียง 24% ใน 4 เดือนหลังจากการฉีดวัคซีน ดังนั้นประชาชนในกลุ่มเปราะบางจึงควรพิจารณาเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น



            WHO แนะนำให้ผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 เปลี่ยนไปผลิตวัคซีนสายพันธุ์ XBB แบบโมโนวาเลนต์ในฤดูกาล 2566-2567 คำแนะนำนี้มาจากความจริงที่ว่าสายพันธุ์ XBB เป็นสายพันธุ์ที่โดดเด่นของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกในขณะนี้ และพวกมันสามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าและหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า ซึ่งหมายความว่าผู้ที่เคยได้รับวัคซีนหรือติดเชื้อสายพันธุ์ก่อนหน้าโอไมครอน XBB ยังจะไวต่อการติดเชื้อและมีอาการป่วยจากสายพันธุ์ XBB ได้ วัคซีนสายพันธุ์ XBB ชนิดโมโนวาเลนต์จะมีประสิทธิภาพมากกว่าวัคซีนรุ่นเดิมในการปกป้องผู้คนจากการติดเชื้อโอไมครอนและป้องกันอาการรุนแรงจากการติดเชื้อโอไมครอนกลายพันธุ์ที่จะระบาดในอนาคต



           นอกจากนี้ WHO ไม่แนะนำให้ใช้สายพันธุ์เก่ามาเป็นหัวเชื้อร่วมกับสายพันธุ์ใหม่ (วัคซีนไบวาเลนต์) แม้ผลกระทบทางคลินิกจะยังไม่ชัดเจนแต่มีหลักฐานในหลอดทดลอง ชี้ว่า หากใช้สายพันธุ์เดิมฉีดกระตุ้นซ้ำๆจะทำให้การสร้างแอนติบอดีของเม็ดเลือดขาวต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ไปเล็กน้อยลดประสิทธิภาพลง (การประทับตราภูมิคุ้มกัน: immune imprinting*) จึงควรใช้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่เท่านั้นในการผลิตวัคซีนในอนาคต



*การประทับตราภูมิคุ้มกัน (Immune imprinting)



          การฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนที่ใช้ไวรัสตัวเดิมซ้ำๆ อาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี คือ เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "การประทับตราภูมิคุ้มกัน: Immune imprinting" เป็นกระบวนการที่ระบบภูมิคุ้มกันของเราเรียนรู้จดจำรูปลักษณ์ของไวรัสที่ใช้ผลิตวัคซีน เช่น ในกรณีของวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้ไวรัสดั้งเดิมอู่ฮั่นมาโดยตลอด ข้อดีคือจะช่วยให้ร่างกายของเราตอบสนอง(สร้างแอนติบอดี) ได้เร็วขึ้นหากพบไวรัสตัวเดิมอีกในอนาคต อย่างไรก็ตาม หากร่างกายเรากลับพบไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยจากสายพันธุ์เดิม เช่น XBB ระบบภูมิคุ้มกันอาจยังคงจดจำรูปแบบเดิมของไวรัสสายพันธุ์เก่าที่เรียนรู้จากการรับวัคซีน "ไม่มูฟออน" ทำให้ไม่สร้างแอนติบอดีต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือสร้างน้อย อุบัติการณ์นี้พบได้ในหลอดทดลองแต่ยังไม่มีความชัดเจนในระบบร่างกายมนุษย์



          คำแนะนำของ WHO และ FDA เป็นขั้นตอนเชิงบวกในการต่อสู้กับโควิด-19 พวกเขาจะช่วยให้แน่ใจว่าผู้คนสามารถเข้าถึงวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่มีอยู่ และจะช่วยปกป้องผู้คนจากสายพันธุ์ที่อันตรายที่สุดของไวรัสในอนาคต



 



#โอไมครอนสายพันธุ์เดียวXBB 



#วัคซีนโมโนวาเลนต์



CR:ขอบคุณข้อมูล-ภาพ Center for Medical Genomics



 

ข่าวทั้งหมด

X