ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า นายรามานาธาน บาลกฤษณัน(Ramanathan Balakrishnan) เจ้าหน้าที่สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ(OCHA)ประจำประเทศเมียนมา เปิดเผยว่ารัฐบาลเมียนมาสั่งห้ามองค์กรการกุศลระหว่างประเทศขนส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปแจกจ่ายแก่ชาวบ้านในรัฐยะไข่ทางภาคตะวันตกของประเทศ หนึ่งเดือนหลังจากพายุโซนร้อน 'โมคา' ขึ้นฝั่งในรัฐยะไข่ แม้ว่าชาวบ้าน 1.6 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน โดยเฉพาะเต็นท์พักแรมชั่วคราว อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค น้ำมันและอุปกรณ์สำหรับรักษาสุขอนามัยเช่น สบู่และยาสีฟัน
นายบาลกฤษณัน กล่าวว่า เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่ทางการเมียนมาจะมีคำสั่งเช่นนี้ กระทบชาวบ้านกว่า 1 ล้านคนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนจากองค์กรการกุศล ขณะที่เจ้าหน้าที่จากองค์กรการกุศลอีกแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า การเดินทางในรัฐยะไข่ถูกจำกัดมาหลายปีแล้วนับแต่มีการรัฐประหารในปี 2564 ระบุว่า องค์กรการกุศลระหว่างประเทศไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางเช่น ต้องยื่นขออนุญาตเดินทางล่วงหน้าหนึ่งเดือน อีกทั้งการจะผ่านด่านตรวจต่างๆจะต้องใช้เวลา 4-5 ชั่วโมงในการยื่นคำร้องขอจนกระทั่งผ่านการอนุมัติ
สภาบริหารแห่งรัฐ(State Administration Council)ของเมียนมาไม่ยอมยกเลิกข้อจำกัดเรื่องการเดินทาง ถึงแม้ว่ารัฐยะไข่จะประสบภัยพิบัติจากพายุ ประชาชนต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ขณะที่องค์การแพทย์ไร้พรมแดน หรือ แอมแอ็สเอ็ฟ กล่าวในทำนองเดียวกันว่า ทางการเมียนมามีคำสั่งระงับใบอนุญาตเรื่องการเดินทางในรัฐยะไข่สำหรับเจ้าหน้าที่แอมแอ็สเอ็ฟเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน
ทั้งนี้ พายุโมคาพัดถล่มพื้นที่ชายฝั่งของรัฐยะไข่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมด้วยความแรงลมกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บ้านเรือนและระบบสาธารณูปโภคเช่น เสาไฟฟ้าและเสาสัญญาณระบบโทรคมนาคมเช่น โทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตหักโค่น ไฟฟ้าดับ ส่วนความเสียหายอื่นๆเช่น น้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรม ปศุสัตว์ตาย และแหล่งผลิตน้ำประปาปนเปื้อน ไม่สามารถใช้ผลิตน้ำประปาได้ต่อไป สะพานชำรุด เสาไฟฟ้าหักโค่นขวางถนน อาคารโรงเรียนและอาคารโรงพยาบาลได้รับความเสียหาย
#เมียนมา
#ห้ามองค์กรการกุศลเข้าไปยังรัฐยะไข่