ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า นายบิล เบิร์นส์ ผู้อำนวยการของสำนักข่าวกรองกลาง(ซีไอเอ)ของสหรัฐฯกล่าวต่อเวทีประชุมแห่งหนึ่งในมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเมินเรื่องสถานการณ์การสู้รบในยูเครนว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามรบในช่วง 6 เดือนข้างหน้าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด อีกทั้งจะเป็นตัวตัดสินถึงผลสรุปของสงครามว่าจะยุติอย่างไร ขณะเดียวกันสหรัฐฯประเมินท่าทีของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียว่า รัสเซียไม่ใส่ใจเรื่องเจรจาสันติภาพกับยูเครนอย่างจริงจัง
นายเบิร์นส์ กล่าวว่า จำเป็นที่สหรัฐฯและนาโต (องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ)จะมาปฏิบัติการทางทหารในยูเครน เพื่อลดความอหังการของนายปูติน ทั้งส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่า รัสเซียไม่อาจจะเดินหน้ารุกคืบยึดดินแดนของยูเครนเพิ่มเติมอีกต่อไป ตรงกันข้าม แต่ละเดือนที่ผ่านไป โดยเฉพาะช่วง 6 เดือนข้างหน้า สหรัฐฯและนาโตจะต้องส่งสัญญาณให้รัสเซียเห็นว่า รัสเซียมีแต่จะต้องสูญเสียดินแดนทุกตารางนิ้วที่เข้ายึดครองโดยผิดกฎหมายระหว่างประเทศกลับคืนมาให้กับยูเครนด้วย
นายเบิร์นส์ ประเมินว่า ในมุมมองของรัสเซีย นายปูติน ยังคงเชื่อมั่นว่า ยิ่งยื้อระยะเวลาการสู้รบกับยูเครนไว้นานเพียงใดยิ่งจะเกิดผลดีกับรัสเซีย ทั้งมั่นใจว่า กองทัพรัสเซียมีความสามารถจะโจมตียูเครนด้วยขีปนาวุธให้เสียหายหนักที่สุด และเห็นว่า ผู้นำการเมืองในยุโรปจะค่อยๆรู้สึกเหนื่อยล้าหลังการตรากตรำหาทางแก้ไขปัญหานี้มาเกือบหนึ่งปี ขณะเดียวกัน สหรัฐฯเองก็เผชิญกับปัญหาต่างๆภายในประเทศ จนไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสงครามในยูเครนแบบเต็มตัว
ก่อนหน้านี้ นายเบิร์นส์ เคยบอกกับนายเซอร์เก นารีชกิน ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองต่างประเทศ (SVR)ของรัสเซียในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วว่า รัสเซียประเมินสถานการณ์ด้านข่าวกรองผิดพลาดมาตลอด รวมถึงการตัดสินใจบุกยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีที่แล้วด้วย
#สหรัฐฯ
#ประเมินสถานการณ์รบในยูเครน