คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟด มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.65 เป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 7 ในปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 4.25% ถึง 4.50% สูงสุดในรอบ 15 ปี
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เป็นไปตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้ง, 0.50% จำนวน 2 ครั้ง และ 0.75% จำนวน 4 ครั้ง ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4.25% ในปีนี้
การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟด คาดว่า ในปีหน้าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องไปจนถึงปี 2024 โดยเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ในปีหน้า ก่อนที่จะสิ้นสุดวัฏจักรปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะสูงกว่าที่คาดหมายไว้ก่อนหน้านี้
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ระบุในถ้อยแถลงว่า แม้ตัวเลขเงินเฟ้อจะลดลง แต่ยังไม่ทำให้เกิดความมั่นใจว่าจะชนะต้องมีข้อมูลยืนยันตัวเลขที่เห็นว่าเงินเฟ้อจะต้องลดลงอย่างยั่งยืน ซึ่งคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินสหรัฐฯ มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยเล็กน้อย ใช้นโยบายเชิงรุกปานกลางในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ FOMC ยังปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2023 ลงเหลือ 0.50%
ส่วนอัตราว่างงาน คาดว่าจะแตะระดับ 3.7% ในสิ้นปีนี้ ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ระดับ 3.8% และเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.6% ทั้งในปี 2566 และ 2567 ก่อนที่จะชะลอตัวลงสู่ระดับ 4.5% ในปี 2568 ขณะที่ อัตราว่างงานระยะยาวอยู่ที่ 4.0%
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งตัวลงในช่วงท้ายของการซื้อขาย และปิดลบในวันพุธ(14ธ.ค.65) ตามหลังคำแถลงทางนโยบายของเฟด ที่ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% คาดว่าอาจต้องคงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงเป็นเวลานาน ในความพยายามควบคุมเงินเฟ้อ
-ดาวโจนส์ ลดลง 142.29 จุด (0.42%) ปิดที่ 33,966.35 จุด
-เอสแอนด์พี ลดลง 24.33 จุด (0.61%) ปิดที่ 3,995.32 จุด
-แนสแดค ลดลง 85.93 จุด (0.76%) ปิดที่ 11,170.89 จุด
#เฟด
#ดอกเบี้ย
แฟ้มภาพ