รมว.คลัง ชี้ต้องปรับนโยบายการคลัง เพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บรายได้ หวังว่า สิ้นปีหน้าเงินเฟ้อไม่เกิน6%

14 ธันวาคม 2565, 14:15น.


          การปรับนโยบายด้านเศรษฐกิจ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดงาน Thailand Economic Montior Distributional Impact of Fiscal Spending and Revenue ว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง อาจจะต้องมาวิเคราะห์ดูมาตรการต่างๆที่ถือเป็นรายจ่ายที่รัฐบาลได้จ่ายไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นโยบายการคลังอาจไม่สามารถใช้แบบกระจายได้เหมือนเดิม ต้องปรับมาเป็นแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น



         หลังจากนี้มีปัจจัยที่ท้าทายสำหรับนโยบายการคลัง คือ การช่วยรักษาและลดแรงกดดันด้านราคาสินค้า จากผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลจะต้องพิจารณาดำเนินการอย่างเหมาะสม ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อของไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง มาอยู่ที่ 5.5% ทำให้เชื่อว่าสถานการณ์เงินเฟ้อของไทยได้ผ่านจุดสูงสุดเรียบร้อยแล้วและหลังจากนี้จะทยอยลดลงจนกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ และหวังว่า ภายในสิ้นปี 65 อัตราเงินเฟ้อของไทยจะอยู่ไม่เกิน 6% ซึ่งถือเป็นระดับที่น่าพอใจ ไม่ได้สูงเหมือนกับหลายประเทศทั่วโลก ขณะเดียวกัน ต้องดูเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ เพื่อนำมาสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนในกิจกรรมต่างๆของเศรษฐกิจทั้งด้านการศึกษา สุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ



         รมว.คลัง กล่าวถึง การสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เป็นความท้าทายในการทำโครงการและมาตรการต่างๆ เพื่อนำไปสู่ความเท่าเทียมและการพัฒนาอย่างทั่วหน้า รัฐบาลได้ปรับปรุง 3 ด้านสำคัญ ได้แก่



1. ด้านนวัตกรรมและดิจิทัล ผ่านการดำเนินมาตรการทั้งด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี



2. การพัฒนาทักษะแรงงาน



3. การสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม



 



#นโยบายการคลัง



#กรอบเงินเฟ้อ



แฟ้มภาพ เพจกระทรวงการคลัง

ข่าวทั้งหมด

X