หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผย ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 8.5% ในเดือนก.ค.65 เนื่องจาก ราคาน้ำมันลดลง และเมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.7% หลังจากเมื่อเดือน มิ.ย.65 พุ่งแตะระดับ 9.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า เงินเฟ้อส่งสัญญาณชะลอตัวลงแล้ว แต่ประชาชนยังได้รับผลกระทบอยู่ รัฐบาลยังคงมีงานที่ต้องทำอีกมาก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค
นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาชิคาโก กล่าวว่า ดัชนี CPI เดือนก.ค.65 ที่ลดลงเป็นข้อมูล "ในเชิงบวก" เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เฟดเริ่มใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงิน นายอีแวนส์ ระบุว่า เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สูงอย่างยอมรับไม่ได้ และเฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจากระดับ 2.25-2.50% ในปัจจุบัน สู่ระดับ 3.25-3.50% ในสิ้นปีนี้ และสู่ 3.75-4.00% ในช่วงสิ้นปีหน้า
การปรับอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 3.25-3.50% ในสิ้นปีนี้ ชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1.00% ในช่วงการประชุมนโยบายการเงินที่เหลืออีก 3 ครั้งในปีนี้
ขณะเดียวกัน นายอีแวนส์ คาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับสูงสุดที่ 4% ในปีหน้า ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดการเงินคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 3.75% ในกลางปีหน้า จากนั้นจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ข้อมูลของตัวเลข CPI ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกแข็งแกร่งในวันพุธ(10ส.ค.65)
-ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 535.10 จุด (1.63%) ปิดที่ 33,309.51 จุด
-เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 87.77 จุด (2.13%) ปิดที่ 4,210.24 จุด
-แนสแดค เพิ่มขึ้น 360.88 จุด (2.89%) ปิดที่ 12,854.81 จุด
#CPIลดลง
#เฟดยังขึ้นดอกเบี้ย
#หุ้นสหรัฐฯพุ่ง
CR:Reuters,CNBC