ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เปิดเผยสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ระบุว่า The more is not always the better ต้องพอดีเมื่อถึงเวลา วันสองวันมานี้มีหลายๆคนถามมาเรื่องระดับภูมิคุ้มกันและการรับวัคซีนโควิด-19ในรอบใหม่ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ขอแนะนำอธิบายคร่าวๆตามนี้
1)สำหรับคนที่ได้วัคซีนเชื้อตายคือ Sinovac และ Sinopharm ควรได้รับการกระตุ้นภูมิ ประมาณเดือนที่สี่ถึงเดือนที่หก หลังจากได้วัคซีนเข็มที่สอง ควรได้เร็วหรือช้าขึ้นกับสองปัจจัย
-ปัจจัยแรก คือ ความเสี่ยงของคนๆนั้นในการติดเชื้อ(เช่น ทำงานเจอผู้คนมากหรือสัมผัสกับผู้มีเชื้อบ่อยหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่นภูมิคุ้มกันบกพร่องหรืออายุมาก)
-ปัจจัยที่สอง คือ ความรุนแรงของการระบาดในขณะนั้น เช่น ถ้ามีการระบาดรุนแรงเกิดเวฟที่สี่ หรือ ห้า โดยเฉพาะในหน้าหนาวนี้ที่ต้องเฝ้าระวัง ส่วนจะเป็นวัคซีนชนิดใดที่ใช้กระตุ้นไม่สำคัญ และระดับภูมิคุ้มกันจะเท่าไหร่ก็ไม่ควรนำมาใช้เป็นแนวกำหนดด้วย ถ้ารอได้ควรเป็นวัคซีนรุ่นที่สอง
2)สำหรับผู้ที่ได้วัคซีน ไวรัลเวคเตอร์ เช่น Astra Zeneca Johnson and Johnson หรือ Sputnik ควรได้รับการกระตุ้นประมาณเดือนที่หกถึงเดือนที่แปดหลังเข็มที่สอง ของ Astra Zeneca หรือ Sputnik V และเข็มหนึ่งของ Johnson and Johnson และ Sputnik Light จะเร็วจะช้าขึ้นอยู่กับปัจจัยเหมือนกับตาม 1) เช่นเดียวกับวัคซีน mRNA คือ Pfizer หรือ Moderna กระตุ้นด้วยวัคซีนอะไรก็ได้เช่นกันแต่ไม่ควรเป็นวัคซีนชนิดเดิมสำหรับวัคซีนประเภทไวรัลเวคเตอร์ เนื่องจากว่าร่างกายมีโอกาสสร้างภูมิต้านทานไวรัสตัวที่ใช้เป็นเวคเตอร์ทำให้การกระตุ้นภูมิต่อโควิด-19 ไม่ดีนัก
3)ถ้าใครไม่ใช่กลุ่มที่ต้องรีบฉีด ควรรอดูว่าจังหวะเวลาที่จะต้องได้รับการกระตุ้นนั้นจะมีวัคซีนที่ออกแบบมาเจาะจงสำหรับการกระตุ้นไหม ทั้งคุณสมบัติและขนาดปริมาณ(โดส) ซึ่งปริมาณขนาดที่จะใช้กระตุ้นนี้มีความสำคัญมาก ไปใช้ขนาดเดียวกับการฉีดครั้งแรกอาจจะมากเกินจำเป็น ไม่ควรตื่นเต้นไปจองวัคซีนรุ่นแรก
4)ถ้าไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาวิจัยไม่แนะนำให้เจาะระดับภูมิคุ้มกัน เพราะระดับภูมิคุ้มกันนี้ไม่สามารถบ่งบอกถึงระดับการป้องกันโรคของวัคซีนได้โดยตรง(มี missing unknown unexplained links อีกหลายตัว) เพราะถ้าติดตามศึกษาผลระดับภูมิคุ้มกันที่เสนอกันจะเห็นว่าในกลุ่มคนที่เหมือนๆกันและได้รับวัคซีนเดียวกันจะมีผลระดับภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันมากเกินกว่าจะอธิบายได้ (ถ้าใครดูตัวเลขกราฟเป็น จะเห็นได้ว่าเรื่องระดับภูมิคุ้มกันเวลานำเสนอนั้นในแนวตั้งที่บอกถึงระดับที่วัดภูมิคุ้มกันได้นั้นจะเป็น log scale เพราะต้องแสดงค่าตั้งแต่ ศูนย์ ถึงหลายๆหมื่น จากที่วัคซีนทุกชนิดที่ศึกษาจะวัดค่าได้มีตั้งแต่ต่ำมากถึงสูงมาก การที่เราเห็นผลมันรวมกลุ่มกันเป็นกระจุกนั้นจริงๆแล้วมันกระจายกันอยู่มาก ผู้เข้าใจตัวเลขสถิติจะเข้าใจได้ว่าผลเช่นนี้นำมาหารเฉลี่ยง่ายๆไม่ได้) สรุปว่า ระดับภูมิคุ้มกันใช้เป็นได้เพียงงานวิจัยบอกการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีนได้บ้าง(แต่ไม่ใช่ระบบภูมิคุ้มกันทั้งระบบของคนที่ยังมีระดับความจำของภูมิคุ้มกันและอื่นๆอีกด้วย) มีประโยชน์ในการศึกษาเลือกและกำหนดชนิดวัคซีนพอได้ แต่ไม่บอกระดับการป้องกันของร่างกายต่อการติดเชื้อ
5)วัคซีนทุกชนิดที่มีในขณะนี้ ไม่มีชนิดไหนป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาได้ (และนอกจากนั้น การจะติดเชื้อนั้นขึ้นกับทั้งระดับภูมิและปริมาณเชื้อที่ได้รับด้วย) แต่ทุกชนิดป้องกันการมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้(แต่ก็ไม่ 100%)ดังนั้นควรเปลี่ยนกรอบความคิดกันใหม่ว่า เราฉีดวัคซีนกันเพื่อกันการป่วยหนักกันการเสียชีวิต และการแพร่ระบาดในวงกว้าง
6)การตรวจหาเชื้อที่รวดเร็วและการรักษาที่รวดเร็วที่เริ่มมีแล้วไม่ว่าจะเป็นยาต้านไวรัสหรือยาแอนตี้บอดี้ค็อคเทล จะยิ่งทำให้เมื่อติดเชื้อแล้วได้ยาเร็วก็หายเร็วขึ้นและไม่มีอาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลได้อีกด้วย
อีกไม่นานเราก็อยู่ไปกับมันได้สบายๆ แต่ยังต้องช่วยกันลุ้นอีกเรื่อง คือ วัคซีนในเด็ก เพราะเราๆผู้ใหญ่ยังอยากให้สังคมคืนปกติ(ใหม่) โดยเฉพาะเด็กๆก็ควรจะกลับสู่การเรียนในโรงเรียนโดยเร็ว
#หมอนิธิ
#ฉีดบูสเตอร์โดส
#ระดับภูมิคุ้มกัน
CR:Nithi Mahanonda
แฟ้มภาพ