ผู้ป่วยโควิด หายป่วยกลับบ้านได้ 2,435 คน
ศูนย์ข้อมูล Covid-19 รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันที่ 6 พ.ค. 64 ในการระบาดระลอกเดือนเม.ย.64
-ผู้ติดเชื้อใหม่ 1,911 คน
-ผู้ป่วยสะสม 47,948 คน
-หายป่วยกลับบ้าน 2,435 คน
-รวมผู้ป่วยหายดีกลับบ้านได้ 19,369 คน
-เสียชีวิต 18 ราย
CR:ศูนย์ Covid-19
นิวยอร์กไทม์ แก้ไขกราฟิก ลบไทยออกจากประเทศนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์
กรณีการขึ้นทะเบียนวัคซีนและการนำวัคซีนของไฟเซอร์เข้ามาใช้ในประเทศไทย นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ยืนยันว่า ยังไม่มีการนำวัคซีนต้านโควิด-19 จากบริษัทไฟเซอร์เข้าประเทศไทย เช่นเดียวกับ ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ชี้แจงข้อเท็จจริง เช่นกันว่ายังไม่มีการนำเข้าไทย
นิวยอร์กไทม์ ลบไทยออกจากประเทศนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ หลังจากที่ระบุว่า ไทย นำเข้าวัคซีน ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์
นิวยอร์กไทม์ ได้แก้ไขกราฟิก โดยนำสีเหลือง ออกจากส่วนของประเทศไทย จากที่ก่อนหน้านั้น เว็บไซต์นิวยอร์กไทม์ นำเสนอกราฟิกส่วนของการติดตามการกระจายวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก ในส่วนของวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา พบว่า ไทยขึ้นเป็นสีเหลือง หมายถึงมีการอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
สำหรับโทษของการนำเข้าวัคซีนโดยไม่มีการขึ้นทะเบียนจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย. ระบุว่า ขณะนี้มีวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว 3 ราย คือ แอสตราเซเนกา, โคโรนาแวค และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
ส่วนวัคซีนโมเดอร์นายังอยู่ในระหว่างประเมินคำขอขึ้นทะเบียน และยังมีอีก 2 ราย ที่อยู่ในระหว่างทยอยยื่นเอกสารคำขอขึ้นทะเบียนต่อเนื่อง คือ โคแวคซีน และสปุตนิก วี
วันนี้ ไทยได้รับวัคซีนซิโนแวคเพิ่มอีก 1 ล้านโดส
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า ในวันนี้ ไทยจะได้รับวัคซีนซิโนแวคเข้ามาเพิ่มอีก 1,000,000 โดส และหลังจากวันที่ 14 พ.ค.64 จะมีวัคซีนซิโนแวคที่ได้รับบริจาคจากรัฐบาลจีนมาเพิ่มอีก 500,000 โดส รวมทั้งองค์การเภสัชกรรมได้สั่งซื้อเพิ่ม จะได้รับสิ้นเดือนนี้อีกจำนวน 2,000,000 โดส รวมเดือนพ.ค.64 จะมีวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีนเข้ามารวม 3,500,000 โดส เพิ่มจากที่ได้รับและเริ่มฉีดไปแล้วตั้งแต่เดือนมี.ค.64 จำนวน 2,500,000 โดส
อว.เผยข้อมูลทั่วโลก ฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 1,195 ล้านโดส ไทย อันดับ 6 อาเซียน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 1,195 ล้านโดส ใน 194 ประเทศ/เขตปกครอง อัตราการฉีดวัคซีนล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 19.8 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การฉีดวัคซีน จำนวน 1,195 ล้านโดส อว.รายงานสถิติที่สำคัญ คือ
1. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 3 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบร้อยละ 60 ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 279.91 ล้านโดส (ร้อยละ10 ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. สหรัฐอเมริกา จำนวน 247.77 ล้านโดส (ร้อยละ 38.6)
3. อินเดีย จำนวน 160.42 ล้านโดส (ร้อยละ 5.9)
2. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อยร้อยละ 25 (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. อิสราเอล ( ร้อยละ 57.8 ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
2. มัลดีฟส์ (ร้อยละ 55.5) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford และ Sinopharm )
3. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ร้อยละ 50.1) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
4. บาห์เรน (ร้อยละ 43.2) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
5. ชิลี (ร้อยละ 39.3) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
6. สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 38.6) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Johnson&Johnson)
7. สหราชอาณาจักร (ร้อยละ 37.6) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
8. ภูฏาน (ร้อยละ 32.3) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford)
9. ฮังการี (ร้อยละ 32.0) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
10. กาตาร์ (ร้อยละ 29.9) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech)
3. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง ร้อยละ 49.02
2. อเมริกาเหนือ ร้อยละ 23.91
3. ยุโรป ร้อยละ 18.08
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน ร้อยละ 7.06
5. แอฟริกา ร้อยละ 1.71
6. โอเชียเนีย ร้อยละ 0.22
4. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 22,984,902 โดส ได้แก่
1. สิงคโปร์ จำนวน 2,213,888 โดส (ร้อยละ19.5 ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer และ Moderna
2. กัมพูชา จำนวน 2,469,822 โดส ( ร้อยละ 7.3 ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm
3. อินโดนีเซีย จำนวน 20,984,828 โดส (ร้อยละ 3.8 ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac
4. มาเลเซีย จำนวน 1,569,609 โดส (ร้อยละ 2.4 ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer และ Sinovac
5. ลาว จำนวน 345,818 โดส (ร้อยละ 2.3 ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm
6. ไทย จำนวน 1,573,075 โดส (ร้อยละ 1.2 ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac และ AstraZeneca
7. บรูไน จำนวน 10,715 โดส (ร้อยละ1.2 ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca
8.เมียนมา จำนวน 1,040,000 โดส (ร้อยละ 1 ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca
9. ฟิลิปปินส์ จำนวน 1,999,214 โดส (ร้อยละ 0.9 ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac และ AstraZeneca
10. เวียดนาม จำนวน 539,062 โดส (ร้อยละ 0.3 ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca
5. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย วันที่ 5 พ.ค.64
จัดสรรวัคซีนแล้วทั้งหมด 2,071,247 โดส
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 1,573,075 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 1,150,564 โดส
-เข็มสอง 422,511 โดส
อินเดียมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลก
องค์การอนามัยโลก เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อินเดียมีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากถึงร้อยละ 46 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลก และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 1 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตทั่วโลก เนื่องจาก ไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่พบครั้งแรกในอินเดีย ทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากจนโรงพยาบาลไม่มีเตียงผู้ป่วยและออกซิเจนทางการแพทย์ ผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนักหลายคนเสียชีวิตขณะที่อยู่ในรถพยาบาลและที่จอดรถ ระหว่างรอเตียงผู้ป่วยหรือออกซิเจน ส่งผลต่อเนื่องไปห้องเก็บศพและฌาปนสถาน
ในสัปดาห์ที่แล้ว ทั่วโลกมีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5,700,000 คนและมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 93,000 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่อยู่ในอินเดียเกือบ 2,600,000 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 20 และมีผู้เสียชีวิต 23,231 ราย
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณว่าการระบาดในอินเดียกำลังแพร่กระจายไปยังเพื่อนบ้าน เนปาลมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 137 เป็น 31,088 คน ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ ศรีลังกาก็มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
เมื่อวันอังคาร 4 พ.ค.64 อินเดียกลายเป็นประเทศที่ 2 ของโลกที่มีผู้ติดเชื้อผ่านระดับ 20 ล้านคนต่อจากสหรัฐฯ และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากถึง 3,780 ราย ภาย 24 ชั่วโมง และเมื่อวันพุธที่ 5 พ.ค.64 มีผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้น 382,315 คน
สปส. ดำเนินคดี 7 ราย ร้านค้าทุจริต ม33 แลกเงินสด ไม่มีการซื้อขายกันจริง
คณะรัฐมนตรี อนุมัติโครงการ ม 33 เรารักกัน กรอบวงเงิน 18,500 ล้านบาท เพิ่มวงเงินให้ผู้ประกันตน มาตรา 33 รวม 2,000 บาท จ่ายสัปดาห์ละ 1,000 บาท ใช้จ่ายได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย.64
มีการแจ้งเตือนว่า อย่าทุจริตโครงการต่างๆที่ภาครัฐออกมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในช่วงโควิด-19 และจะมีการดำเนินคดีกับคนที่ทุจริต
พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 และน.ส.ลัดดา แซ่ลี้ ผอ.สำนักสิทธิประโยชน์ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า การติดตามมาตรการดังกล่าวเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายผู้ประกันตนช่วงเดือนมี.ค. - พ.ค.64 พบว่า มีการซื้อขายสิทธิของโครงการเป็นเงินสดโดยไม่มีการซื้อขายสินค้าหรือบริการกันจริง ซึ่งถือเป็นการทุจริตผิดเงื่อนไขของโครงการ สปส.จึงได้แจ้งความเอาผิดต่อพนักงานสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จ.นนทบุรี เพื่อดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหาทุจริตโครงการ ม33เรารักกัน จนเมื่อวันที่ 7 เม.ย.64 มีการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้ 7 ราย ซึ่งมีพฤติการณ์เป็นร้านค้าที่ร่วมโครงการฯ ประกาศชักชวนผ่านเฟซบุ๊กเชิญชวนให้นำสิทธิแลกเป็นเงินสดแทนการซื้อของจากร้านค้า
เมื่อวันที่ 29 เม.ย.64 มีผู้ต้องหา 3 ราย มาพบตามหมายเรียกครั้งที่ 2 พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และโทษทางอาญาอื่นๆ วันที่ 30 เม.ย. 64 พนักงานสอบสวนได้นำตัวผู้ต้องหาซึ่งให้การรับสารภาพ 3 คน ไปยังศาลแขวงพระนครเหนือ เพื่อให้พนักงานอัยการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาต่อศาล ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ 1,000 บาท โดยให้รอลงอาญาโทษจำคุกเป็นเวลา 2 ปี ให้คืนเงิน 500 บาทแก่ผู้เสียหาย ส่วนผู้ต้องหาอีก 4 คน อยู่ระหว่างดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
น.ส.ลัดดา เตือนผู้ประกันตนที่มีสิทธิตามโครงการ ม33เรารักกัน ขออย่าได้หลงเชื่อการประกาศเชิญชวนรับแลกสิทธิ โดยไม่ได้มีการซื้อสินค้าหรือบริการจริงในร้านค้าที่ได้รับอนุญาต เพราะอาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการผิดวัตถุประสงค์ของโครงการ และอาจจะตกเป็นเหยื่อร้านค้า ที่เป็นมิจฉาชีพหลอกแลกสิทธิให้โอนเงินซื้อสิทธิ โดยอาจจะไม่ได้รับเงินจากร้านค้าที่เป็นมิจฉาชีพ ในกรณีร้านค้าที่กระทำผิดจะได้รับโทษ ทางอาญาจำคุกและปรับ ในส่วนของเจ้าของสิทธิที่นำสิทธิไปแลก ตามคำเชิญชวนของร้านค้า อาจเข้าข่ายร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกง