นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จะจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ในพื้นที่ของสโมสรตำรวจ เพื่อรองรับผู้กักขังที่ลักลอบเข้าเมือง หลังพบผู้ถูกกักขังในห้องกักบางเขน ติดเชื้อโควิด-19 โดยขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขประสานไปยังผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางต่างๆ สำหรับการดูแลผู้ที่จะเข้ามารักษาในโรงพยาบาลสนาม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนในวัยทำงาน แม้ติดเชื้อก็จะไม่ค่อยแสดงอาการ จึงไม่จำเป็นต้องให้ยารักษา แต่ใช้เวลาในการพักร่างกายประมาณ 10 วัน ก็จะหายเองได้ โดยหลังจากนี้หากทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองต้องการความช่วยเหลือในด้านใดๆ กระทรวงสาธารณสุขก็พร้อมให้การสนับสนุน
สำหรับการตั้งโรงพยาบาลสนาม จะอยู่ในบริเวณศูนย์กีฬาด้านหลังสโมสรตำรวจ มีรั้วรอบขอบชิด ไม่มีชุมชนใกล้เคียง ซึ่งโรงพยาบาลสนามมีข้อกำหนดว่าจะต้องห่างกับชุมชนหลาย 100 เมตรหรือเป็นกิโลเมตร ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวล พร้อมย้ำว่าผู้ที่เข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลสนาม เป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการเป็นส่วนใหญ่ หากแสดงอาการเมื่อไหร่ก็จะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลหลักทันที พร้อมยืนยันว่า หน่วยงานภาครัฐจะคิดถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก และบุคลากรทางการแพทย์ก็มีความชำนาญในการรักษาโรคมากขึ้นด้วย
นายอนุทิน ระบุว่า ขออย่าเพิ่งดูยอดผู้ติดเชื้อรายวัน แต่ให้ดูว่าการกระจายโรคอยู่เหนือการควบคุมหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ไม่มีการกระจายโรค แต่เป็นการติดเชื้อแบบคลัสเตอร์ ดังนั้นยืนยันว่า ไม่ใช่การระบาดระลอกที่ 3
นายอนุทิน ยังกล่าวถึงการผลิตวัคซีนจากเชื้อตาย ขององค์การเภสัช ที่พัฒนาร่วมกับสถาบันการแพทย์ของอเมริกา ซึ่งเริ่มฉีดให้กับอาสาสมัครกว่าร้อยคนนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐาน หากประสบความสำเร็จก็จะถือเป็น ”วัคซีนไทยแลนด์” ที่มีองค์การเภสัชที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี และในอนาคตก็จะมีการพัฒนาวัคซีนในหลายรูปแบบเพื่อใช้เองในประเทศ เบื้องต้นคาดว่าสามารถผลิตได้อยู่ที่ 30 ล้านโดสต่อปี จึงขอให้คนไทยทุกคนมั่นใจในเรื่องวัคซีน และขอให้มองไปยังอนาคตเกี่ยวกับการเปิดประเทศ และกระจายวัคซีนไปในจังหวัดท่องเที่ยวลำดับขั้นตอน เพื่อให้สอดคล้องกับการมาถึงของวัคซีนในแต่ละเดือน โดยยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้และไม่ล่าช้า
มีรายงานว่า นายอนุทิน จะฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในวันนี้ หลังจากเมื่อวันที่ 28 ก.พ.64 รับวัคซีนซิโนแวคเข็มแรกไปแล้ว