เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยติดเตียง เป็นมะเร็งที่โคนลิ้นและปอด ที่ จ.สมุทรสาคร
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ประจำวันที่ 18 มี.ค.64
1.ผู้ป่วยรายใหม่ 92 คน
2.ผู้ป่วยยืนยันสะสม 27,494 คน
3.หายป่วยแล้ว 26,377 คน
4.เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ทำให้ยอดเสียชีวิตสะสม 89 ราย
สำหรับผู้เสียชีวิตรายที่ 89 เป็นชายไทย อายุ 65 ปี เป็นผู้ป่วยติดเตียงด้วยโรคมะเร็งที่โคนลิ้นและมะเร็งปอด ระยะที่ 4 อาศัยอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร
-วันที่ 8 มี.ค.64 ไปติดตามการรักษาโรคมะเร็งปอดที่ รพ.เอกชน
-วันที่ 15 มี.ค.64 เข้ารับการรักษาที่ รพ.เอกชน ด้วยอาการไข้สูง หายใจเหนื่อย ต่อมาอาการแย่ลง วัดสัญญาณชีพไม่ได้ และเสียชีวิตในวันเดียวกัน แพทย์สงสัยจึงตรวจหาเชื้อโควิด-19 ผลตรวจยืนยันพบเชื้อ
วุ่น! ป.4 ติดโควิดไปเรียนกวดวิชา - 2 โรงเรียนดังปิดเรียนชั่วคราว หวั่นเสี่ยงติดเชื้อ
โรงเรียนกวดวิชา นัทจรีย์ ที่ตั้งอยู่ย่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งเตือนผู้ปกครอง หลังจากเพิ่งได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขวันนี้ (18 มี.ค.64) ว่ามีนักเรียนชั้น ป.4 ที่มาเรียนกวดวิชาในรอบวันเสาร์ ที่ตึกใหม่ (ในซอย) ห้อง 5 ชั้น 3 ติดโควิด-19 จากคนในครอบครัว และจากการสอบสวนโรคเบื้องต้น นักเรียน ป.4 คนดังกล่าวแจ้งว่า เดินเข้าห้องน้ำที่โรงเรียนกวดวิชาเท่านั้น
สำหรับนักเรียนคนอื่นๆ ที่มาเรียนกวดวิชาในห้องดังกล่าวและครูผู้สอน ต้องกักตัว 14 วัน เนื่องจากถือว่าเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง และครูผู้สอน 1 คน ได้ไปตรวจหาเชื้อในวันนี้ อยู่ระหว่างรอผลตรวจ ขณะที่นักเรียนในชั้นอื่น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแจ้งว่าไม่จำเป็นต้องกักตัว แต่ให้สวมหน้ากากอนามัยอย่างเคร่งครัด หมั่นล้างมือ และสังเกตอาการ สำหรับมาตรการที่โรงเรียนกวดวิชานัทจรีย์ กำหนดหลังจากนี้ คือ
1.คอร์สติวเข้มรอบโครงการ จะสอนช่องทาง online ทั้งหมด ผู้ปกครองสามารถมารับเงินส่วนต่างคืนได้ในภายหลัง
2.เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ โรงเรียนจะหยุดทำการ 3 วัน จะเปิดให้ผู้ปกครองรับหนังสือเท่านั้น
3.โรงเรียนได้แจ้งผู้ปกครอง ป.4 แล้ว
ขณะที่ โรงเรียนราชินีบน และโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ประกาศปิดเรียนชั่วคราว เพราะพบว่ามีนักเรียนของโรงเรียนจำนวนหนึ่งไปเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาแห่งนี้
ในส่วนของโรงเรียนราชินีบน น.ส.เย็นฤทัย จงถนอม ผู้อำนวยการโรงเรียน ออกประกาศหยุดเรียนทุกระดับชั้น ในวันศุกร์ที่ 19 มี.ค.64 เพื่อทำความสะอาดครั้งใหญ่ (Big Cleaning) ภายในบริเวณโรงเรียนและให้นักเรียนระดับชั้นปฐมวัยและประถมศึกษา มาเรียนตามปกติในวันจันทร์ที่ 22 มี.ค.64 ส่วนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา มาสอบปลายภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ตามตารางสอบที่โรงเรียนได้แจ้งไปก่อนหน้านี้แล้ว โรงเรียนราชินีบน ยังกำหนดแนวทางปฎิบัติระหว่างปิดสถานศึกษาด้วยเหตุพิเศษ ดังนี้
1.ให้นักเรียนทุกระดับชั้น เข้าเรียนผ่านระบบออนไลน์ RB Online ของระดับชั้น ในวันศุกร์ที่ 19 มี.ค.64
2.ขอความร่วมมือนักเรียน ผู้ปกครอง และครู ไม่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง ตามประกาศของกรมควบคุมโรค หรือไปตามสถานที่ชุมชนแออัดต่างๆ แต่หากมีความจำเป็น ต้องปฎิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
ส่วนโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ น.ส.บุษบา ชูวิรัช ผู้อำนวยการโรงเรียน ออกประกาศให้นักเรียนทุกระดับชั้นหยุดเรียนในวันพฤหัสบดีที่ 18 มี.ค. 64 และวันศุกร์ที่ 19 มี.ค.64 เพื่อทำความสะอาดครั้งใหญ่ (Big Cleaning) ภายในบริเวณโรงเรียน และให้นักเรียนมาสอบปลายภาคเรียนที่ 2 ตามตารางสอบที่ทางโรงเรียนได้แจ้งไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น โรงเรียนจะปิดห้องเรียนทุกห้องเพื่อทำความสะอาดและอบโอโซนเพื่อฆ่าเชื้อโรค
‘ทรู’ เปิดไทม์ไลน์พนักงานติดเชื้อโควิด ยันไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับลูกค้า
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ออกประกาศชี้แจงกรณีพบพนักงานติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1 คน โดยพนักงานคนดังกล่าวไม่ได้ทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า มีไทม์ไลน์ดังนี้
3 มี.ค.64 : เข้าร่วมประชุมในห้องประชุมที่ True Branding Shop สาขา Siam Square Soi 2
4-5 มี.ค.64 : เข้าปฏิบัติงานที่อาคารทรู ทาวเวอร์ ชั้น 20
6-8 มี.ค.64 : อยู่บ้านพัก
9-10 มี.ค.64 : เข้าปฏิบัติงานที่อาคารทรู ทาวเวอร์ ชั้น 20
11-16 มี.ค.64 : ปฏิบัติงาน WFH
17 มี.ค.64 : ตรวจพบเชื้อโควิด-19
บริษัทได้ส่งพนักงานคนดังกล่าวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลทันทีที่ทราบเรื่อง รวมทั้งแจ้งให้ผู้ที่ปฎิบัติงานใกล้ชิดกับพนักงานที่ติดเชื้อทุกคน เพื่อไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 และกักตัวสังเกตอาการที่บ้าน 14 วัน แจ้งข้อมูลไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพนักงานที่ติดเชื้อ เพื่อเฝ้าระวังและสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน รวมทั้งเพิ่มความเข้มงวดให้พนักงานปฎิบัติตามมาตรการของ ศบค.อย่างเคร่งครัด ในส่วนของอาคารและร้านสาขา อบพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยมาตรฐานเดียวกับที่ใช้ในโรงพยาบาลและตามมาตรฐานสาธารณสุขสากล
ผลวิจัยของเดนมาร์ก พบว่า ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เสี่ยงติดโควิด-19 ซ้ำเพิ่มขึ้น
ดร.สตีน เอเธลเบิร์ก หัวหน้าทีมวิจัยจากสถาบัน สแตเทนส์ เซรุ่ม (Statens Serum Institut) ในกรุงโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก เปิดเผย ผลการศึกษาซึ่งพิมพ์เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ เดอะแลนเซ็ต (The Lancet) ระบุว่าการติดเชื้อโรคโควิด-19 ซ้ำเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมาก แต่ระยะหลังๆมานี้ ทีมนักวิจัยเดนมาร์กพบว่ากลุ่มคนอายุ 65 ปีขึ้นไป ติดเชื้อโรคโควิด-19 ซ้ำ ชี้ว่า รัฐบาลทั่วโลกควรเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ควบคู่กับรณรงค์เรื่องมาตรการควบคุมโรค เช่นการสวมหน้ากากอนามัยและการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อให้ตนเองและคนอื่นปลอดภัยจากโรคโควิด-19
ทีมนักวิจัยของเดนมาร์ก ตั้งข้อสังเกตว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดโรคโควิด-19 แล้วหายป่วยจะมีภูมิคุ้มกันในร่างกายซึ่งสามารถจะช่วยป้องกันไม่ให้พวกเขาติดโรคโควิด-19 ซ้ำอีกราว 6 เดือน ทั้งนี้นักวิจัยของเดนมาร์กได้ศึกษาเรื่องนี้จากกลุ่มประชากรที่ติดโรคโควิด-19 จำนวน 222,629 คน ในช่วงการระบาดระลอกที่ 2 ระหว่างเดือนกันยายนถึงวันที่ 31 ธันวาคมปีที่แล้ว เปรียบเทียบกับตัวเลขการระบาดระลอกที่ 1 ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ตรวจโรคให้กับประชาชนราว 4,000,000 คนหรือร้อยละ 69 ของประชากรทั้งหมดของเดนมาร์ก พบว่า ในจำนวนผู้ป่วย 11,068 คนที่ติดโรคโควิด-19 ในช่วงการระบาดระลอกที่ 1 มีคนไข้เพียง 72 คนที่หายป่วยแล้วกลับมาติดโรคโควิด-19 ซ้ำในช่วงการระบาดระลอกที่ 2 โดยในกลุ่มที่ติดโรคซ้ำ ทีมวิจัยพบว่าร้อยละ 3.6 เป็นกลุ่มที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
ทีมวิจัย ตั้งข้อสังเกตว่า เพียงร้อยละ 47 ของกลุ่มผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมีสารภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ไม่ติดโรคโควิด-19 ซ้ำ ขณะที่ ร้อยละ 80 ของคนรุ่นหนุ่มสาวมีภูมิคุ้มกันในร่ายกาย ทำให้พวกเขาไม่ติดโรคซ้ำ ผลวิจัยเช่นนี้ถือว่าไม่เกินความคาดหมาย เนื่องจาก เมื่อคนอายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลงตามวัย
ด้าน ดร.โรสแมรี บอยตัน และนายแดเนียล อัลท์แมนน์ สองนักวิทยาภูมิคุ้มกันจากราชวิทยาลัย อิมพิเรียลคอลเลจ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และดร.เอมี เอ็ดเวิร์ดส ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อจากโรงพยาบาลของมหาวิทยาแห่งเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ สหรัฐฯ เห็นว่าการรอให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติอาจจะเป็นเรื่องที่ใช้เวลานานหลายเดือน จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลของทุกประเทศทั่วโลกจะต้องเร่งผลักดันโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้กับประชาชนโดยเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มคนอายุ 65 ปีขึ้นไป
เตือนคนไทยในสหรัฐฯ ระวังตัว หลังเหตุกราดยิงที่รัฐจอร์เจีย
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ โพสต์เฟซบุ๊ก เตือนคนไทยที่อาศัยอยู่ในชุมชนไทยในรัฐจอร์เจียและสหรัฐฯ ทั้งหมด ให้ระมัดระวังในการใช้ชีวิตประจำวันในที่สาธารณะและในเขตชุมชนต่างๆ หลังเกิดเหตุยิงที่ร้านนวดของชาวเอเชีย 3 แห่ง ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย เป็นคนผิวขาว 2 ราย และเชื้อสายเอเชีย 6 ราย ซึ่งจากการตรวจสอบ ไม่พบหรือมีรายงานว่าคนไทยเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้
นายกเทศมนตรีและเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองแอตแลนตา แถลงรายละเอียดการสอบสวนเบื้องต้น ว่าผู้ต้องสงสัยให้การว่าไม่ได้ก่อเหตุเพราะมีแรงจูงใจจากการเหยียดเชื้อชาติ สีผิว หรือเป็นอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง (hate crime) แต่เป็นผู้ที่เสพติดทางเพศ (sexual addiction) ซึ่งตำรวจเห็นว่ายังเร็วเกินไปที่จะมีข้อสรุปอย่างเป็นทางการถึงแรงจูงใจในการกระทำครั้งนี้
ทั้งนี้ หากคนไทยในสหรัฐฯ ได้รับความเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือกรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ขอให้แจ้งหน่วยงานภาครัฐในท้องที่ และ/หรือแจ้งสถานเอกอัครราชทูตฯ หรือสถานกงสุลใหญ่ฯ ในพื้นที่ที่ท่านอาศัยอยู่ เพื่อขอรับความช่วยเหลือได้ ดังนี้
-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน โทร 202-999-7690 หรือที่อีเมล protection@thaiembdc.org
-สถานกงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโก โทร 773-294-5933 หรือที่อีเมล info@thaiconsulatechicago.org
-สถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก โทร 646-842-0864 หรือที่อีเมล info@thaicgny.com
-สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส โทร 323-580-4222 หรือที่อีเมล protection@thaiconsulatela.org
-สามารถดูข้อแนะนำเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ที่ www.thaiembdc.org/th/consularservice/emergency