ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้กลุ่มรัฐอิสลาม หรือ IS จะเพิ่งสูญเสียฐานที่มั่นสำคัญแห่งสุดท้ายในการจัดตั้งรัฐเคาะลีฟะฮ์ เขตปกครองรูปแบบหนึ่งในอาณาจักรมุสลิม แต่ใช่ว่า ปฏิบัติการก่อการร้ายจะสิ้นสุด โดยมองว่า การที่กองทัพซีเรียสามารถยึดคืนเมืองแดร์เอสเซอร์มาวานนี้ได้จะเป็นการปลุกกลุ่ม IS ที่อยู่ใต้ดิน หลังจากต้องสูญเสียดินแดนครอบครอง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีพื้นที่ขนาดใหญ่เท่าอิตาลี และเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่กองโจรภาคพื้นดินในเขตที่มีชาวมุสลิมซุนนีอาศัยอยู่ แต่อยู่นอกเหนือการควบคุมของอิรักและซีเรีย ขณะเดียวกันก็จะยังใช้การโฆษณาชวนเชื่อจูงใจสมาชิกให้ก่อเหตุดังเช่นกรณีผู้ก่อการร้ายขับรถบรรทุกพุ่งชนผู้คนในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร ขณะที่นางฟลอเรนซ์ พาร์ลี รมว.กลาโหมของฝรั่งเศส แสดงทัศนะในระหว่างการประชุมวุฒิสภาว่า ถึงแม้กลุ่ม IS จะจนมุมแล้วในปัจจุบัน โดยสูญเสียฐานที่มั่นสำคัญทั้งในอิรักและซีเรีย แต่กลุ่มดังกล่าวยังมีอิทธิพลในเครือข่ายออนไลน์ มะเร็งแห่งความเกลียดชังจะยังแพร่กระจายอยู่ในแถบแอฟริกา เยเมน ไนจีเรีย ฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และฟิลิปปินส์
ด้านศาสตราจารย์ฌอง-ปิแอร์ ฟิลิว นักวิชาการมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เห็นว่า สถานการณ์ในภาพรวมในซีเรียเลวร้ายยิ่งกว่าอิรัก เนื่องจากซีเรียไม่มียุทธศาสตร์ปราบปรามกลุ่ม IS ในระยะยาว จึงมีแนวโน้มว่า กลุ่ม IS จะรวมกลุ่มกันอีกครั้งในอนาคตอันใกล้ และสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้สนับสนุนไปทั่วโลก นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดว่า กลุ่ม IS จะกลับไปใช้ยุทธวิธีแบบเก่า ซึ่งกลุ่มอัลกออิดะฮ์เคยใช้ก่อเหตุความไม่สงบในอิรักในห้วงระหว่างปี 2547-2551 ในช่วงไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีข้างหน้า เพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของกลุ่มกลับคืน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า สมาชิกกลุ่ม IS ที่รอดชีวิตและกำลังเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดยังคงเป็นภัยคุกคามสำคัญ และกำลังเตรียมปฏิบัติการเชิงรุกขั้นต่อไป โดยในระยะสั้น สมาชิกกลุ่ม IS ที่เหลือจะเปลี่ยนแปลงกลุ่มจากองค์กรก่อความไม่สงบเป็นเครือข่ายกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคและทั่วโลก
ทีมต่างประเทศ
CR:AFP