!-- AdAsia Headcode -->

วันไข่โลก เพราะทุกคนบนโลกควรกิน “ไข่”

09 ตุลาคม 2563, 14:03น.


  วันนี้เป็น “วันไข่โลก” ค่ะ เผื่อใครยังไม่รู้ เรามีวันที่เกิดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้ทุกคนบนโลกกลมๆ ใบนี้ ตระหนักถึงความสำคัญ และคุณค่าทางโภชนาการของ “ไข่ไก่” โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 2539 ซึ่งคณะกรรมาธิการไข่นานาชาติ หรือ “International Egg Commission” ที่มีสมาชิกกว่า 80 ประเทศ กำหนดให้วันศุกร์ที่สอง ของเดือนตุลาคม(ปีนี้ตรงกับวันที่ 9 ตุลาคม) เป็น “วันไข่โลก” World Egg Day นะคะ 



   เกี่ยวกับประโยชน์ของ “ไข่ไก่” แอดคิดว่าทุกคนคงรู้กันอยู่แล้วว่า เป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน และกรดอะมิโนจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้าง และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในเมื่อ “ไข่” มีประโยชน์มากขนาดนี้ แล้วทำไม? เวลาที่มีแผลตามร่างกาย พวกผู้ใหญ่ถึงบอกว่าห้ามกิน “ไข่” , “ไข่ดิบ” กินแล้วได้สารอาหารมากกว่าจริงรึเปล่า? แล้วกิน “ไข่” แบบไหนถึงจะได้ประโยชน์มากที่สุด? 




 -  มีแผลห้ามกินไข่ เพราะจะทำให้เป็นแผลเป็น เรื่องนี้เป็นข้อถกเถียงกันมานานมาก แม้จะไม่มีข้อมูลยืนยันแน่ชัด แต่เมื่อเป็นเรื่องของความงาม (ไม่มีใครอยากมีแผลเป็น) นักโภชนาการจึงแนะนำว่า ถ้ากลัวก็อย่ากินค่ะ แต่ควรรับประทานอาหารอื่นๆ ที่ให้โปรตีนแทน เช่น เนื้อสัตว์ ถั่ว และนม



 -  “ไข่ดิบ” กินได้ ถ้าคุณกล้าที่จะกิน แต่ไม่แนะนำให้กินบ่อย เนื่องจากตามธรรมชาติ ในไข่ดิบจะมีเชื้อแบคทีเรีย ที่ชื่อว่า “ซัลโมเนลลา” เจือปนอยู่ โดยเชื้อนี้จะตายถ้านำไข่ไปผ่านความร้อนจนสุก ดังนั้น การกิน “ไข่ดิบ” บ่อยๆ โอกาสที่เจ้าแบคทีเรียตัวนี้จะไปสะสมในร่างกายก็มากขึ้น ทำให้คลื่นไส้ อาเจียนและท้องเสียรุนแรงได้ นอกจากนี้ในไข่ดิบยังมีสาร"อะวิดิน" ที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปขัดขวางการดูดซึมวิตามิน “ไบโอติน” ผลที่ตามมาคือ อาจทำให้ผมร่วง ผิวแห้งเป็นขุย และเล็บไม่แข็งแรงค่ะ 

  - “เมนูไข่” เมนูไหน? กินแล้วถึงจะดีต่อร่างกายมากที่สุด คำตอบคือ “ไข่ต้ม” ค่ะ เพราะไม่ผ่านการปรุงรส เหมือนไข่เจียว และไม่มีน้ำมันเหมือนไข่ดาว ส่วนไข่ที่ผ่านกระบวนการแปรรูป อย่างไข่เค็ม และไข่เยี่ยวม้า ทั้ง 2 เมนูนี้ก็มีทั้งโซเดียม(เกลือ) และสารเคมีอื่นๆ ที่ใช้ในการแปรรูป กินบ่อยๆ ก็ไม่ดีต่อร่างกาย และสารอาหารที่ได้ก็ไม่ครบเหมือนไข่สดที่ปรุงสุกใหม่ๆ ด้วยนะคะ





   อ่านบทความสนุกๆเพิ่มเติมได้ที่ js100funparty



 

X