เคยไหม? วันดีคืนดีเหงือกบวม เคี้ยวอะไรก็เจ็บก็แสบพาให้อาหารมื้อนั้นๆ ไม่อร่อยไปได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับมาดูอีกทีเหงือกก็เป็นปกติดี ทว่านั่นเป็นสัญญาณของโรคเหงือกอักเสบ ปริทันต์อักเสบแล้วนะ! ซึ่งหากชะล่าใจจนมีอาการรุนแรงขึ้นมาอาจถึงขั้นต้องถอนฟันเลยทีเดียว ด้วยความห่วงใยจากกรมการแพทย์ โดยสถาบันทันตกรรมจึงได้ออกมาอธิบายเกี่ยวกับโรคเหงือกอักเสบ พร้อมแนะนำหากใครเป็นโรคนี้ควรพบทันตแพทย์ทันที
“เหงือกอักเสบ - ปริทันต์อักเสบ” โรคทางช่องปากที่ไม่ควรมองข้าม
โรคเหงือกมีสาเหตุมาจากแบคทีเรียในคราบจุลินทรีย์ ก่อให้เกิดการอักเสบของเหงือก และเนื้อเยื่อปริทันต์รอบๆ ที่ช่วยพยุงฟัน ทำให้เกิดฟันโยก จนนำไปสู่การสูญเสียฟันในที่สุด โดยโรคเหงือกแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามความรุนแรง คือ โรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์อักเสบ
- โรคเหงือกอักเสบนั้นจะเกิดจากแบคทีเรียในคราบจุลินทรีย์ทำให้เกิดการอักเสบเฉพาะบริเวณเหงือก ทำให้เหงือกมีสีแดงคล้ำ บวมแดง แปรงฟัน มีเลือดออกง่าย มีกลิ่นปาก ซึ่งหากได้รับการรักษาที่เหมาะสมเหงือกจะสามารถกลับไปสู่สภาพเดิมได้
- แต่หากปล่อยไว้ ไม่รักษา จะนำไปสู่การเกิดโรคปริทันต์อักเสบ คือ เกิดการทำลายของเอ็นยึดปริทันต์และการละลายของกระดูกเบ้าฟัน
ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยโรคเหงือกจะมีอาการอย่างไร?
สำหรับอาการเริ่มแรกของโรคเหลือกนั้นผู้ป่วยมักไม่รู้สึกเจ็บหรือปวด แต่เมื่อโรคเป็นรุนแรงมากขึ้นอาจมีเหงือกบวมเป็นหนอง คนไข้มักจะมาพบทันตแพทย์ด้วยอาการฟันโยก ฟันยื่นยาว เคี้ยวอาหารเจ็บ แต่ฟันเหล่านี้ก็มักจะไม่สามารถรักษาได้ และถูกถอนไปเนื่องจากมีการทำลายของกระดูกเบ้าฟันไปมากแล้ว
ดังนั้น สิ่งสำคัญจึงต้องหมั่นสังเกตสภาพช่องปากของตนเองอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงป้องกันการเกิดโรคเหงือก อย่าง การแปรงฟันให้ทั่วถึงอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟันอย่างน้อยวันละครั้งเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนทุกๆ 6 เดือน
ข้อมูล : กรมการแพทย์ โดยสถาบันทันตกรรม