!-- AdAsia Headcode -->

แพทย์แนะนำ!! ผักแบบไหนควรเลือกกิน “สุก-ดิบ” เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ครบถ้วน

17 มกราคม 2563, 15:55น.


            “ขึ้นชื่อว่าผักกินๆ ไปเถอะ คงได้รับประโยชน์เหมือนๆ กันนั่นแหละ” เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยได้สนใจในการเลือกกินผัก และคิดว่าจะผักสุก หรือผักดิบก็กินได้เหมือนกัน ซึ่งจริงๆ แล้วผักแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอยู่ หากปรุงแบบผิดวิธี กินไม่เหมาะสมอาจทำให้สูญเสียสารอาหารในผัก กลับกลายเป็นว่าไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ไปได้ ด้วยความปรารถนาดีจาก อ.ดร.วนะพร ทองโฉม นักโภชนาการ กลุ่มสาขาวิชาโภชนาศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้มาแนะนำการเลือกกินผักที่ถูกวิธี เพื่อให้ได้รับประโยชน์เต็มที่ เหมาะสม

            ผักสุก VS ผักดิบ กินแบบไหนได้ประโยชน์มากกว่ากัน?



            1. มะเขือเทศ



            หลายๆ คนอาจคิดว่ามะเขือเทศกินดิบหรือกินสุกก็ได้ แต่จริงๆ แล้วการกินแบบสุกจะทำให้เราได้รับสารอาหารที่สำคัญ อย่าง ไลโคปีน ตัวช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และช่วยดูแลหัวใจของเราอยู่ในตัวมะเขือเทศ โดยไลโคปีนเมื่อผ่านความร้อนผนังเซลล์จะถูกทำลาย รวมทั้งช่วยเปลี่ยนแปลงไลโคปีนให้อยู่ในรูปแบบที่ดูดซึมได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งมะเขือเทศดิบ จะมีไลโคปีน 3-7มิลลิกรัม / 100 กรัม แต่เมื่อผ่านความร้อนแล้วจะมีไลโคปีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 25

            2. แคร์รอต



            แคร์รอตเป็นผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงมากในลำดับต้นๆ ของผักประเภทสีส้ม สีเหลือง ซึ่งการกินแบบสุกจะทำให้เราได้รับประโยชน์จากเบต้าแคโรทีน อย่าง สารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ช่วยป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากการอักเสบในร่างกายได้เต็มที่ เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายผนังเซลล์ของแคร์รอตทำให้การดูดซึมของร่างกายเป็นไปได้ดีมากขึ้น โดยแคร์รอตสุกจะมีเบต้าแคโรทีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 34

         
  3. พริก



            พริกต่างๆ นั้น เราควรจะกินแบบดิบ เนื่องจากพริกอุดมไปด้วยสารอาหารประเภทวิตามินซีสูง หากนำไปโดนความร้อนจะทำให้วิตามินซีเสื่อมสลายไปได้ง่าย โดยวิตามินซีจะมีประโยชน์ในการสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างคอลลาเจนที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างผิวหนังให้ดูยืดหยุ่น และสดใสมากขึ้น



            ปริมาณวิตามินซีในพริก 100 กรัม



            - พริกหวานดิบ จะมีวิตามินซี 70 มิลลิกรัม



            - พริกหยวก จะมีวิตามินซี 50 มิลลิกรัม



            - พริกขี้หนูดิบ จะมีวิจามันซี 40 มิลลิกรัม

         
  4. ผักตระกูลกะหล่ำ



            ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี บล็อกโครี่ คะน้า ฯลฯ เราควรจะกินกันแบบสุกจะทำให้ได้รับประโยชน์ ไม่ว่าจะกากใยอาหารที่มีอยู่สูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบซึ่งจะป้องกันเซลล์มะเร็งในร่างกายได้ ซึ่งการกินแบบดิบจะทำให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหารได้ ดังนั้น ใครที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหารจึงควรหลีกเลี่ยงแบบดิบ ทั้งนี้ ใครที่มีปัญหาการทำงานของต่อมไทรอยด์บกพร่อง ก็ควรหลีกเลี่ยงผักตระกูลกะหล่ำ เนื่องจากมีสาร Goitrogen ที่ยับยั้งการดูดซึมไอโอดีนทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตโฮร์โมนได้น้อยลงนั่นเอง

            5. หัวหอมใหญ่



            สำหรับหัวหอมใหญ่ควรกินแบบดิบนื่องจากสารในหัวหอมอาจถูกทำลายลงได้เมื่อโดนความร้อน เช่น เอ็นไทน์ วิตามินบีและซี ซึ่งประโยชน์ของหัวหอมก็อย่างเช่น วิตามินบี ช่วยในการเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงานแก่ร่างกาย วิตามินซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ เสริมสร้างภูมิต้านทาน และเสริมสร้างโครงสร้างผิวหนังให้แข็งแรงอีกด้วย

            ผักทุกๆ ชนิดล้วนแล้วแต่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายโดยสิ้นเชิง ดังนั้น การที่เรากินผักได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะสุกหรือดิบจะยิ่งช่วยให้เราได้รับสารอาหารเต็มที่ ครบถ้วน และที่สำคัญในทุกๆ มื้อเราควรมีผักร่วมด้วย อย่างน้อย 1-2 ทัพพี ก็จะช่วยเสริมสร้างสมดุลในการกินอาหารของเรามากขึ้น เพื่อร่างกายที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัย



 



Cr. Mahidol Channel










 







 


 



            



 

X