สืบเนื่องจากกรณีที่มีข่าวคดีเมาขับชนคนตายเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา และอีกหลายๆคดีก่อนหน้านั้นเกี่ยวกับกรณีเมาแล้วขับชนคนตาย จึงเป็นเรื่องถูกถกเถียงที่ทางตำรวจทำสำนวนส่งฟ้องอัยการในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา หรือกรณีบาดเจ็บสาหัสเป็นข้อหาพยายามฆ่าได้หรือไม่นั้น
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า ค่าเฉลี่ยใน 1 วัน คนไทย 60 คน จะไม่ได้กลับเข้าบ้าน เนื่องจากประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน ยกตัวอย่าง เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2562 มีคนตายบนท้องถนนคาที่ 49 ราย ไม่รวมบาดเจ็บอีก 3000 กว่าราย และกรณีเมาขับแล้วชนคนตาย เราไม่สามารถป้องกันตนเองหรือคาดการณ์ได้เลยว่า บนท้องถนนมีใครเมาแล้วขับ เราจะโดนชนเมื่อไหร่
ในแนวคิดของนักกฎหมาย มองกรณีเมาชนคนตายออกเป็น 2 ทาง โดยมองว่ากฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันครอบคลุมและสามรถดำเนินคดีได้กรณีชนคนตายเป็นการขับขี่ด้วยความประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขณะที่อีกฝ่ายไม่เห็นด้วยว่าเป็นการเข้าข่ายโดยเจตนาเล็งเห็นผลนั้น
ซึ่งเคยมีคดีตัวอย่างเมื่อปี 2548 ที่ศาลจังหวัดมหาสารคาม กรณีขับแล้วชนคนตาย จำเลยอายุ23ปี ที่เมาแล้วขับรถชนคนเสียชีวิต 4 ศพ บาดเจ็บ 5 ราย โดยศาลตัดสินให้ประหารชีวิตในข้อหาเจตนาหรือพยายามฆ่า จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และต้องยกระดับการกู้ชีพมาตรฐานของประเทศไทย เช่น การตัดคะแนนความประพฤติและบันทึกประวัติการขับขี่ รวมถึงชาวต่างชาติที่เข้ามาด้วย และเน้นย้ำว่าต้องเอาจริงเอาจัง เพราะถือเป็นเรื่องความเป็นความตาย เพราะถือว่าผู้ที่ไปกินเหล้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเมาถือว่ามีเจตนา ขณะนี้ทางมูลนิธิเมาไม่ขับเร่งพลักดันฟ้องร้องคดี กรณีเมาชนคนตายเมื่อช่วงสงการนต์ และพลักดันแก้ข้อกฎหมายให้มีประสิธิภาพยิ่งขึ้น
ในขณะที่พลตำรวจเอก วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นด้วยและจะช่วยขับเคลื่อนในการแก้ข้อกฎหมายให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ ความรับผิดชอบ ให้กับสังคมไทย ซึ่งปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจของไทยด้านภาพลักษณ์ต่อชาวต่างชาติ ด้านสังคม เช่น บางกรณีที่มีการเมาชนคนตาย คู่กรณีไม่รับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายภาระจึงตกไปเป็นของภาครัฐซึ่งมีอยู่มากในปัจจุบัน จึงมองว่ากฎหมายประเทศไทยอ่อนแอเกินไป สะท้อนเห็นถึงกระบวนการทำงานการตัดสินความยุติธรรม ศาลที่คิดตัดสินมีน้อยคนที่จะตัดสินให้ประหาร คนมีสตางค์สามรถจ่ายได้ทุกระดับตั้งแต่ค่าทำศพ ตำรวจ อัยการ จนถึงชั้นศาล และคนตายไม่สามารถกลับมาให้การได้ ทำให้จำเลยรอดพ้นคดีอยู่บ่อยครั้ง จึงมองว่า เมาชนคนตายเจตนาไม่ต่างกับมือปืนรับจ้างเลย และผู้ที่ต้องร่วมรับผิดชอบคือบริษัทผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภาษีที่ได้มานั้นนำไปช่วยเหลือเลี้ยงดูผู้ได้รับความเสียหาย
คุณสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวสรุปว่า กฎหมายของประเทศไทยบางข้อดีอยู่แล้ว และบางข้อตั้งได้รับการแก้ไข และสังคมยังขาดวินัย ความเคารพกฎหมาย รวมถึงชีวิตของผู้อื่นนำมาซึ่งการทำลายครอบครัวผู้อื่น และตนเอง และสะท้อนไปถึงการพิจาณาของกระบวนการ ประเทศไทยยังล้าหลังเรื่องความตระหนักรู้คุณค่าชีวิต