‘หูตึง’ ปล่อยไว้ไม่รักษา เสี่ยงโรคสมองเสื่อม !

27 กันยายน 2561, 19:00น.


        อาการหูตึง หรือประสาทหูเสื่อมในกลุ่มผู้สูงอายุ ไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลยแม้จะเกิดเองตามธรรมชาติ ตามสังขารของคนที่เปลี่ยนแปรไป เพราะผู้สูงอายุที่มีภาวะหูตึงหากปล่อยไว้นาน ๆ ไม่ได้รักษาอย่างถูกวิธีอาจเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมได้ง่าย เนื่องจากสมองไม่ได้รับการกระตุ้นจากเสียงที่ผ่านเข้ามา ทั้งนี้ รศ.กฤษณา เลิศสุขประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อความหมาย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกัน สังเกตอาการหูตึง ที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ไม่จำกัดเฉพาะผู้สูงอายุ จะน่าสนใจขนาดไหนตามมาอ่านกัน



        วิธีสังเกตุอาการหูตึงด้วยตนเอง

        ผู้ที่มีอาการหูตึงเวลาพูดด้วยจะไม่มีการตอบสนอง จนต้องถามซ้ำ หรือฟังความหมายผิดเพี้ยน เช่น ถามว่าวันนี้จะกินก๋วยเตี๋ยวไหม อาจได้คำตอบว่า “เออ...กินข้าวเหนียวดีกว่า” หรือเขาอาจพูดด้วยเสียงดังมากกว่าปกติ เนื่องจากไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง จึงต้องพูดเสียงดัง ซึ่งหากสงสัยว่าคุณเอง หรือคนใกล้ตัวกำลังมีอาการหูตึงรึเปล่า ให้ทดสอบด้วยการใช้นิ้วโป้งถูกับนิ้วชี้ ในระยะห่างจากหู 1 นิ้ว ถ้าไม่ได้ยิน นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณควรไปพบแพทย์ได้แล้ว



        วิธีป้องกันหูตึง

        ควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีเสียงดัง โดยทั่วไประดับการได้ยินของคนจะมีระดับเสียงไม่เกิน 25 เดซิเบล ส่วนตัวเลขที่อยู่ในระดับอันตรายจะเกิน 85 เดซิเบล ขึ้นไป เช่น เสียงพลุ เสียงประทัด หรือเสียงจากโรงงานอุตสาหกรรมที่คนงานจะต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงไว้ แต่คำถามสำคัญ คือ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเสียงที่ดังอยู่นั้นเป็นระดับที่อันตราย ซึ่งก็มีวิธีทดสอบง่าย ๆ อีกเช่นกัน คือ หากยืนห่างคู่สนทนา 3 ฟุต ถ้าคุยกันแล้วไม่ได้ยินเสียง นั่นหมายถึงสถานที่ที่อยู่ขณะนั้นมีระดับเสียงที่เป็นอันตรายต่อหูแล้ว ส่วนการใช้หูฟัง ถ้ามีคนมาเรียกแล้วไม่ได้ยินบ่อย ๆ นั่นแสดงว่ากำลังเปิดเสียงดังเกินไป การจามแรง ๆ หรืออุบัติเหตุบริเวณหู ศรีษะ ก็ส่งผลกระทบได้เช่นกัน ควรป้องกันดูแลให้ดี



        หูตึงแล้ว ควรทำอย่างไร ?

        สำหรับคนที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีภาวะหูตึงแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งมีด้วยกันหลายแบบ เช่น แบบที่ใส่ในช่องหู แบบทัดหลังใบหู และแบบพกกระเป๋า แต่ทั้งนั้นการเลือกเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมจะต้องคำนึงถึงระดับการได้ยิน ถ้าหูเสียไม่มากก็สามารถใส่เครื่องช่วยฟังขนาดเล็กได้ แต่ถ้าเสียมากควรใส่เครื่องช่วยฟังขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งตามมาตรฐานแล้วเครื่องช่วยฟังจะมีอายุใช้งานประมาณ 3 ปี ขึ้นอยู่กับการรักษา และเนื่องจากผู้มีภาวะหูตึงประสาทหูได้เสื่อมไปแล้ว การได้ยินเสียงจะแปลกไป แต่ก็จะเข้าใจได้จากด้วยการสื่อสารทางสีหน้า ท่าทาง การอ่านริมฝีปาก



        นอกจากนี้ในกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้มีอาการหูตึงก็ควรดูแลสุขภาพให้ดี ด้วยการกินอาหาร นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิต ให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในชั้นหู และขอย้ำว่าหากคุณ หรือคนใกล้ตัวมีอาการหูตึงก็ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษา อย่าปล่อยละเลยไว้เพราะจะเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุ

        ที่มา : Mahidol Channel

        ภาพจาก : slpstore.ir , lensklar , youcanbeawesley

X