จากการที่กระทรวงสาธารณสุข ได้น้อมนำพระคติธรรมของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลสังฆมหาปรินายก ประทานแก่การจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 10 พ.ศ.2560 ที่ทรงสอนให้เข้าใจว่า "สุขภาพมนุษย์ย่อมเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ 5 ประการ คือสุขภาพประกอบด้วยปัจจัยทั้งทางกายภาพ ชีวภาพ จิตใจ พฤติกรรม และปัจจัยตามธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้ ในทางศาสนาอาจจะเน้นเรื่องจิตและกรรม ส่วนนักวิทยาศาสตร์หรือหมอ ก็มักเน้นแต่เรื่องทางกายและตัวโรค ดังนั้นเมื่อนำมารวมกัน โดยทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ก็จะมีสุขภาวะที่ยั่งยืนได้ ทั้งทางโลกและทางธรรม”
ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้จัดกิจกรรม “1 วัด 1 โรงพยาบาล” ขึ้น โดยใช้โอกาสวันวิสาขบูชาโลก เป็นวันดีเดย์ พร้อมกันทั่วประเทศ ในการให้ทุกโรงพยาบาลติดตามดูแลส่งเสริมสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้งขอให้พระสงฆ์ช่วยเผยแพร่ความรู้ในการดูแลสุขภาพไปสู่ประชาชน ผ่านการเทศนาธรรม เพื่อลดโรคที่เกิดจากพฤติกรรม โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ที่กำลังเป็นปัญหาของประชากรโลก
.jpg)
โดยกิจกรรมนี้จะให้จับคู่อุปถัมภ์วัดอย่างน้อยโรงพยาบาลละ 1 วัด และจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันควบคุมโรค ในวันวิสาขบูชา และในโอกาสอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง โดยถวายความรู้ในการดูแลสุขภาพแก่พระสงฆ์ เช่น
ภัตตาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับพระสงฆ์ ชุดความรู้สำหรับพระสงฆ์ที่ใช้ในการเทศนาแสดงธรรมแนะนำประชาชน การถวายธูป-เทียนไร้ควัน เพื่อลดมลภาวะในวัด การจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดการขยะ การควบคุมสัตว์นำโรค การตรวจคัดกรองสุขภาพพระสงฆ์ สนับสนุนการจัดอบรมอาสาสมัครประจำวัด (อสว.)
และรณรงค์ให้ความรู้อาหารถวายพระ ใส่บาตรพระ ลด หวาน มัน เค็ม แก่ประชาชนที่รอรับบริการผู้ป่วยนอก (OPD)
นอกจากนี้กรมการแพทย์ยังมีโรงพยาบาลสงฆ์ คอยทำหน้าที่ให้การดูแลรักษาพระภิกษุอาพาธทั่วประเทศ ฟรี โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัวอีกด้วย

สำหรับข้อมูลการให้บริการย้อนหลัง 3 ปี พบว่า มีพระสงฆ์เป็นผู้ป่วยนอก เฉลี่ย 100,000 รูปต่อปี และเป็นผู้ป่วยใน เฉลี่ย 5,000 รูปต่อปี โดยมีอัตราครองเตียงค่อนข้างนานกว่าผู้ป่วยทั่วไป ทั้งนี้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกพระสงฆ์ในการดูแลรักษาและการเดินทางนั่นเอง
สำหรับ 5 อันดับโรคที่มาตรวจรักษานั้นพระสงฆ์ที่เป็นผู้ป่วยนอก มักเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง และข้อเข่าเสื่อม ส่วนพระสงฆ์ที่เป็นผู้ป่วยใน มักเป็นโรคต้อกระจก โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบ ท้องร่วง และเบาหวาน ซึ่งหากดูจากข้อมูลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะพบว่า ในปี 2560 มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาพระสงฆ์ ที่เป็นผู้ป่วยนอก จำนวน 631,258,360 บาท และผู้ป่วยใน จำนวน 288,587,931 บาท
ส่วนข้อมูลการสำรวจสุขภาพพระสงฆ์ของโรงพยาบาลสงฆ์ ล่าสุดในปี 2559 (คัดกรองสุขภาพพระสงฆ์ สามเณรทั่วประเทศคัดกรอง 138,715 รูป จากทะเบียนพระสงฆ์ที่มี 348,433 รูป จากวัดทั่วประเทศ 41,142 วัด) พบว่า พระสงฆ์ที่สุขภาพดีมีจำนวนลดลง (เหลือร้อยละ 52.3 จากร้อยละ 60.3 ในปี 2549) ส่วนพระสงฆ์ที่อาพาธกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้น (เพิ่มเป็นร้อยละ 28.5 จากร้อยละ 17.5 ในปี 2549)
ซึ่งปัญหาสุขภาพของพระสงฆ์ในประเทศไทย ครึ่งหนึ่งมีภาวะอ้วนลงพุง จากการบริโภคอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ อันเป็นผลมาจากการไม่สามารถเลือกฉันอาหารเองได้ ประกอบกับมีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ดังนั้นเพื่อเป็นการลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคของพระสงฆ์ ขอให้ประชาชนทำบุญตักบาตรด้วย “ภัตตาหารชูสุขภาพ” คือ ประกอบด้วยอาหาร 5 หมู่ เลือกข้าวกล้องสลับข้าวขาว เลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันสลับเนื้อปลา ผักต่าง ๆ ผลไม้รสไม่หวาน ประกอบอาหารด้วยวิธีต้ม นึ่ง ย่าง ยำ อบ ลด หวาน มัน เค็มหรือทำเป็นน้ำพริกรสไม่จัด มีผักลวกเคียง และไม่ลืมถวายน้ำเปล่า และนม

สำหรับกิจกรรมบริหารกายที่เหมาะสม ได้แก่
1.กิจกรรมบริหารกายแบบแอโรบิค เช่น การเดินบิณฑบาต การเดินจงกรม งานทำความสะอาดโบสถ์ วิหาร กวาดลานวัด งานจัดเตรียมสถานที่ประกอบพิธีสงฆ์ งานก่อสร้าง งานสวน เป็นต้น
2.กิจกรรมบริหารกายแบบใช้แรงต้าน เช่น การดันฝาผนัง การนอนแล้วงอตัวขึ้น การย่อเข่าลุก-นั่งเก้าอี้ เป็นต้น
3.กิจกรรมบริหารกายแบบยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เช่น การก้มตัวใช้มือแตะปลายเท้า การยืดกล้ามเนื้อบริเวณลำตัวด้านข้าง และบริเวณไหล่ เป็นต้น
นอกจากนี้อยากขอให้ประชาชนช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมในวัดด้วย เช่น
การถวายธูปเทียนไร้ควัน หรือดับธูปทันทีหลังอธิษฐานแล้ว เพื่อลดควันที่มีสารพิษและฝุ่นละอองจากควันธูป
การควบคุมสัตว์และแมลงพาหะนำโรคภายในวัดเพื่อป้องกันโรคติดต่อ เช่น โรคพิษสุนัขบ้าจากสุนัขและแมวที่ถูกนำมาปล่อยในวัด
ที่สำคัญคือโรคไข้เลือดออก ซึ่งกรมควบคุมโรคสำรวจพบลูกน้ำยุงลายในศาสนสถานมากถึงร้อยละ 52
จึงอยากขอให้ช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย โดยการเก็บขยะ ปัดกวาดลานวัด คว่ำภาชนะที่มีน้ำขังลงโคนต้นไม้ ปิดหรือเปลี่ยนน้ำในภาชนะเก็บน้ำทั่วไปและในห้องน้ำ ปลูกสมุนไพรตะไคร้หอมกันยุง และทายากันยุงก่อนนั่งสมาธิ เพื่อป้องกันยุงลายกัด และขอให้ประชาชนดูแลสัตว์เลี้ยงของตนเอง อย่านำสัตว์เลี้ยงไปปล่อยที่วัด เพราะจะทำให้พระสงฆ์และผู้ที่ไปทำบุญเสี่ยงต่อการถูกสัตว์เลี้ยงกัดได้