กองบังคับการตำรวจราจร สรุปผลการตรวจจับรถฝ่าฝืนเปลี่ยนช่องทางเดินรถในเขตห้าม ตามโครงการติดตั้งกล้องเลนเชนจ์ (Lane Change Camera System) ตั้งแต่วันที่ 9-15 พ.ค.61 รวม 7 วัน มีจำนวนใบสั่งทั้งสิ้นรวม 149,648 คัน แบ่งได้ดังนี้
9 พ.ค.61 : จำนวน 27,514 คัน
10 พ.ค.61 : จำนวน 24,113 คัน
11 พ.ค.61 : จำนวน 23,307 คัน
12 พ.ค.61 : จำนวน 19,963 คัน
13 พ.ค.61 : จำนวน 18,078 คัน
14 พ.ค.61 : จำนวน 20,129 คัน
15 พ.ค.61 : จำนวน 16,544 คัน
จากสถิติพบว่า
- จำนวนใบสั่งมีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัด ยกเว้นรอบวันจันทร์ที่ 14 พ.ค.61
- รถเก๋ง(54%) มากกว่า รถจักรยานยนต์(46%)
- แยกที่มีผู้กระทำความผิดมากที่สุด สามเหลี่ยมดินแดง 15,806 คัน ห้วยขวาง 12,800 คัน และแยกศิริราช 11,789 คัน
- ใบสั่งทั้งหมด 149,648 คัน ค่าปรับคันละ 500 บาท รวมมูลค่า 74,824000 บาท
พ.ต.อ.กิตติ อริยานนท์ รองผู้บังคับการตำรวจราจร เปิดเผยว่า ตำรวจจราจรในแต่ละพื้นที่รายงานสภาพการจราจรดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้กระแสสังคมสะท้อนทั้งเป็นบวกและลบ แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่า คนที่ต่อคิวปฎิบัติตามกฎจราจรมาโดยตลอดย่อมสนับสนุน ส่วนคนที่่ไม่สนับสนุนคือคนที่เดือดร้อนจากการบังคับใช้กฎหมาย กล้องตรวจจับมีความเที่ยงตรงแม่นยำ ลดการใช้ดุลยพินิจของตำรวจให้มากที่สุด ไม่ต้องยืนตั้งด่าน ลดการเผชิญหน้ากับผู้ใช้รถ ผิดก็ว่าไปตามผิด แต่ส่วนใหญ่เมื่อผู้ใช้รถกระทำความผิดมักไม่ยอมรับ อ้างเหตุผลต่างๆนาๆ รีบบ้าง จำเป็นบ้าง แต่ทั้งที่จริงจากสถิติการใช้กล้องออกใบสั่งพบว่า มีรถที่กระทำความผิดซ้ำซากจำนวนไม่น้อย สะท้อนพฤติกรรมและลักษณะนิสัยในการขับรถ
ส่วนคำถามที่ว่า โครงการดังกล่าวจะเป็นแค่'ไฟไหม้ฟาง'หรือไม่ ยืนยันว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะโครงการดังกล่าวเซ็นสัญญากันระหว่างหลายหน่วยงานเป็นระยะเวลา 2 ปี และหากกระแสตอบรับดีก็มีแนวโน้มจะทำต่ออีก ยืนยันรถทุกคันต้องชำระใบสั่งภายใน 30 วัน มิเช่นนั้นจะต่อภาษีรถไม่สมบูรณ์ จะได้รับเป็นใบแทนชั่วคราวเท่านั้น