สวัสดีค่ะ JS100 Online Reporter วันนี้ ปิ๊กจะพาทุกๆคนไปสัมผัสเมืองที่แสนสงบ เมืองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมชาติ ศิลปะ และวัฒนธรรม อย่างจังหวัดพัทลุง ดินแดนที่อยู่ทางภาคใต้ของเมืองไทย บางคนอาจจะนึกไม่ออกว่า นอกจากทะเลน้อยที่มีชื่อเสียงของพัทลุงแล้ว จะไปที่ไหนอีกบ้าง วันนี้ เราจะพาทุกท่านไปเที่ยวพัทลุงให้เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร ภายใน 3 วัน 2 คืน ไม่ว่าคุณจะเป็นสายบุญ สายกิน หรือว่าสายอาร์ต เรามีมาครบค่ะ
เราเดินทางโดยเครื่องบิน flight 9.20 น. เครื่องดีเลย์นิดหน่อย ถึงท่าอากาศยานหาดใหญ่เวลาประมาณ 11 โมงกว่า มีรถตู้ที่ทาง ททท. เตรียมไว้ให้มารับถึงสนามบิน แล้วเราก็มุ่งตรงไปที่สวนสะละลุงถันค่ะ
สวนสะละลุงถันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ขึ้นชื่อของจังหวัดพัทลุง ค่าเข้าชม 50 บาท แต่กินสละได้ทั้งสวนเลยค่ะ สายกินห้ามพลาดเด็ดขาดเลยนะคะ ลุงถันเจ้าของสวน ได้ให้ความรู้ในการผสมพันธุ์สละ และการดูแลต่างๆ จะบอกว่า สวนของคุณลุง มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแวะเวียนมาบ่อยๆ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆค่ะ
เราทานอาหารเที่ยงกันที่นี่ค่ะ แหม มาถึงพัทลุงทั้งที ก็ต้องกินอาหารพื้นเมืองของเขาสิคะ จะพลาดได้ยังไง
หน้าตาของอาหารอาจจะดูบ้านๆนะคะ แต่รสชาตินี่เด็ดอย่างบอกใครเชียวค่ะ อร่อย ไม่อร่อย ปิ๊กกับเพื่อนๆร่วมทริป เติมข้าวกันแทบทุกคนเลยจ้า
สำหรับท่านใดที่อยากรับประทานอาหารที่นี่ ราคาจะอยู่ที่หัวละ 100 บาทค่ะ ซึ่งอาหารที่เรารับประทานกัน มาจากผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของแต่ละชุมชนค่ะ
ไม่รีรอค่ะ ทริปนี้เวลาเราน้อย เรามุ่งต่อไปที่ๆ 2 ก็คือ บ่อน้ำร้อนเขาชัยสนค่ะ
บ่อน้ำร้อนนี้ มีอุณหภูมิอยู่ที่ 60 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่พอเหมาะแก่การแช่เท้า แช่ตัวเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ แหม เดินทางมากตั้งนานแบบนี้ ขอแช่ให้หายเมื่อยหน่อยเถอะ
หรือถ้าใครอยากแช่ทั้งตัว นวดแผนไทย เขาก็มีบริการนะคะ ห้องพักก็มีค่ะ
นั่งรถต่อนิดหน่อยไปที่ถ้ำน้ำเย็นค่ะ ไม่เสียค่าเข้านะคะ แต่มีค่าบริการพายเรือค่ะ ไม่แพงด้วยค่ะ ราคารับได้
อันนี้เป็นรูปหน้าถ้ำค่ะ ลมโกรกเย็นสบายมากๆเลยค่า ลองเอาแตะๆน้ำดู อื้มหืมม อยากจะลงไปแช่ทั้งตัวจริงๆ เย็นฉ่ำมากๆ ค่ะ
ในถ้ำมืดมากค่ะ แต่เขามีไฟบริการให้ ไฮโซไหมล่ะ
ในถ้ำก็จะมีหินงอกหินย้อยรูปทรงต่างๆ นมสาวเอย เพชรเอย แล้วแต่เราจะจินตนาการไปค่ะ
อ้อ เตือนอีกอย่าง ไปเที่ยวถ้ำ อย่าเอามือไปจับหินงอกหินย้อยนะคะ เพราะความร้อนจากมือเรา จะทำให้หินหยุดการเจริญเติบโตค่ะ ดูแต่ตา ช่วยกันรักษาธรรมชาติไว้ค่ะ^^
มาต่างถิ่นต่างที่ ก็ต้องไปไหว้พระขอพรกันที่วัดค่ะ และนี่ก็คือวัดเขาชัยสน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากถ้ำเท่าไหร่ค่ะ วัดนี้เป็นวัดเล็กๆ สงบ ร่มเย็น เมื่อมาถึงก็จะเจอกับศาลตาโคตรพรหม ปู่เจ้าเขาชัยสน ซึ่งเป็นที่เคารพของคนในท้องถิ่น และมีบ่อน้ำที่คนที่นี่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์สามารถนำไปต้มยาได้
ตกเย็น พลบค่ำ ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ เราเลือกทานอาหารเย็นกันที่ ร้านยกยอ ศรีปากประ ค่ะ
เห็นจากรีวิวหลายๆที่ มาพัทลุง ก็ต้องมาที่ศรีปากประค่ะ เราก็สงสัยเหมือนกันค่ะ ว่าทำไมต้องที่นี่ แต่พอมาถึงก็ร้องอ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ สถานที่สวย ตกแต่งได้อย่างลงตัว แถมวิวก็งดงามมากๆ
หิวแล้ว มื้อนี้มีทั้งอาหารกลางๆ และอาหารพื้นบ้านผสมกันไปค่ะ อาหารถูกปากมากๆ แต่ส่วนใหญ่เผ็ดร้อนตามสไตล์อาหารใต้ค่ะ แต่ถ้าใครที่ทานเผ็ดอยู่แล้ว ก็ไม่มีปัญหาจ้า
มีดนตรีสดให้ฟังด้วย แนวเพลงก็เข้ากับร้านดีค่ะ มีทั้งเพลงลูกทุ่งภาษาใต้ ไปจนถึงเพลงฮิตของไทยทั่วๆไปค่ะ
ที่นี่มีห้องพักด้วยนะคะ แต่เสียดายค่ะ วันที่เรามา ห้องพักไม่พอ ไม่อย่างนั้น คงได้ตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ระเบียงห้องเป็นแน่ค่ะ (เฮ้ออ เสียดายจัง)
เราเลือกพักผ่อนเอนกายที่ โรงแรม ศิวา รอยัล ค่ะ ห้องพักสะอาด กว้างขวางดีค่ะ
กรุ๊ปเราตื่นไปรับแสงแรกกันที่ทะเลน้อยค่ะ คุ้มค่าแก่การตื่นเช้าจริงๆ
อิ่มตา อิ่มใจกับแสงยามเช้าไปแล้ว กลับมาอิ่มท้องกับอาหารเช้าที่โรงแรมต่อค่ะ อาหารก็มีให้เลือกหลายแบบเลยค่ะ จะเพลนๆ แบบข้าวต้ม ขนมปัง กาแฟ หรือจะอาหารพื้นเมืองก็มา ขนมไทยก็มีนะคะ สลัดผักสุดเฮลตี้ก็มากมายค่ะ
ได้เวลาออกท่องเที่ยวแล้ว เป้าหมายต่อไปของเราก็คือ วัดเขาอ้อค่ะ
วัดเขาอ้อนี้ ว่ากันว่าเป็นวัดที่มีแหล่งวิทยาคมทางไสยศาสตร์ มีเรื่องเล่าว่า ขุนพันธุ์เคยมาอาบน้ำว่านที่นี่ค่ะ
วิวสวยสุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ
เป้าหมายถัดไปของเราคือ อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า อุทยานแห่งนี้กินพื้นที่ของ 3 จังหวัดเลยค่ะ คือ นครศรีธรรมราช ตรัง และพัทลุงค่ะ ซึ่งอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาบรรทัด สลับซับซ้อนปกคลุมด้วยป่าดงดิบชื้นเขียวสะพรั่งทุกฤดูกาลเลย
ที่นี่ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก ค่ะ จะเจอผาผึ้ง ถ้าใครได้ดูภาพยนตร์เรื่องเมาคลี มันเหมือนหน้าผาที่เมาคลีปีนขึ้นไปตีรังผึ้งให้หมีเฒ่าบาลูยังไงอย่างนั้นเลยค่ะ
แต่รังผึ้งที่นี่จะเป็นรังร้างค่ะ ถามว่ารู้ได้ยังไง เจ้าหน้าที่เขาบอกว่า ถ้ารังผึ้งเป็นสีเหลือง(แบบในรูป) แสดงว่าไม่มีผึ้งอยู่ค่ะ แต่ถ้ารังไหนเป็นสีดำแสดงว่ามีผึ้งอยู่ค่ะ เพราะว่า สีดำมาจาก สีตัวของผึ้งที่อยู่รวมๆกันเยอะๆ ค่ะ
อันนี้เป็นรังผึ้งที่ตกลงมาข้างล่างค่ะ
เที่ยงแล้วค่า มื้อเที่ยงนี้ เราขอฝากท้องไว้ที่ร้าน หลานตาชูค่ะ ร้านมี 2 ฝั่งนะคะ ฝั่งหนึ่งเป็นร้านอาหารค่ะ อีกฝั่งเป็นร้านของฝาก
ที่นี่มีอาหารให้เลือกหลากหลายเชื้อชาติมากค่ะ
อิ่มหนำสำราญแล้ว เราจึงมุ่งหน้าสู่ตลาดน้ำลำปำค่ะ และได้มีโอกาสเข้าพบนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองพัทลุง ท่านจึงเชิญชวนทุกคนมาเที่ยวงานประเพณีแข่งโพน-ลากพระ ประจำปี 2559 ด้วยค่ะ
“โพน” เป็นชื่อกลองที่มีลักษณะเหมือนกลองทัด มีสามขา และตีด้วยไม้แข็ง 2 มือค่ะ กลองทำจากการเจอะไม้ต้นตาล หรือไม้ขนุน หน้าโพนนิยมหุ้มด้วยหนังควายหรือหนังวัวค่ะ
โดยประเพณีแข่งโพน-ลากพระ ประจำปี 2559 จะจัดขึ้นในวันที่ 8-17 ตุลาคม 2559 ณ เวทีหน้าสำนักงานเทศบาลเมืองพัทลุง
โดยกำหนดการคร่าวๆ มีประมาณนี้ค่ะ
วันที่ 5-8 ต.ค.59 แข่งโพน รอบคัดเลือก ณ หาดแสนสุขลำปำ
วันที่ 13 ต.ค.59 ขบวนแห่ฯ / พิธีเปิดงาน / ประกวดธิดาโพน
วันที่ 15 ต.ค.59 ประกวดเทพีโพน / แข่งโพนรอบชิงชนะเลิศ
วันที่ 17 ต.ค.59 ตักบาตรเทโว / ประกวดเรือ / สมโภชโพนมงคล / ซัดต้ม
หลังจากนั้น พวกเราก็ได้มีโอกาสนั่งรถรางชมเมืองพัทลุงเส้นทางจากตลาดน้ำลำปำ – ตัวเมืองพัทลุง เป็นรถบริการนำเที่ยวฟรีด้วยนะคะ ผ่านวัดยางงาม วังเจ้าเมือง และวัดวังค่ะ
วัดยางงาม เป็นวัดเก่าสมัยรัตนโกสินทร์ค่ะ สร้างโดยอาศัยแรงงานนักโทษที่ถูกคุมขังในคุกเมืองพัทลุงมาช่วยกันสร้าง มีเรื่องเล่าว่า มีคน ฝันพร้อมกันว่ามีผู้ชายสมัยโบราณรูปร่างสูงใหญ่ มาบอกให้ช่วยกันไปนำเรือขึ้นจากน้ำ หลังฝันจึงได้ร่วมกับชาวบ้านไปค้นหาตามที่ฝันจนพบเรือ 2 ลำ จมอยู่ใต้น้ำลึก ใช้เวลานาน 15 วัน จึงสามารถช่วยกันนำเรือขึ้นมาจากน้ำได้ จึงสันนิษฐานว่า บริเวณนั้นอาจจะเป็นท่าเรือเก่า
เรานั่งรถรางต่อไปยังวังเจ้าเมือง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมถนน มองหาได้ไม่ยาก ซึ่งบริเวณนี้มีทั้งวังเก่าและวังใหม่ ในอดีตเคยเป็นที่ว่าราชการและที่พักของเจ้าเมืองพัทลุงค่ะ
วังเก่าเป็นอาคารทรงไทยใต้ถุนสูง สร้างจากไม้ทั้งหลัง ให้ลิ่มไม้เชื่อมยึดแทนตะปู ดูๆ ไปแล้ว อย่างกับว่าได้ย้อนเวลาไปในอดีตเหมือนแม่มณีในเรื่องทวิภพเลยล่ะค่ะ
ส่วนวังใหม่เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน สร้างขึ้นโดยหลวงจักรานุชิต (เนตร จันทโรจวงศ์)
*ปัจจุบันได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ทุกวัน เว้นวันจันทร์-อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์
เวลา 09.00-12.00 น. และ 13.00-16.00น.
คนไทยเสียค่าเข้าชม 5 บาท ส่วนชาวต่างประเทศ 30 บาทค่ะ
จุดหมายปลายทางสุดท้ายของเส้นทางนี้ ก็คือวัดวังค่ะ ซึ่งวัดนี้เคยใช้เป็นสถานที่การประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการเมืองพัทลุงในอดีต จนกระทั่งได้มีการยกเลิกพิธีดังกล่าวไป
เที่ยวจนเหนื่อยเลยค่ะ แดดเมืองไทยที่แรงทั้งประเทศจริงๆ เย็นนี้เราเลือกฝากท้องไว้ที่ร้านบางชามค่ะ “บางชามก็อร่อย บางชามก็ไม่อร่อย” เจ้าของร้านกล่าวไว้ 555+ เป็นมุขนะคะ จริงๆ อร่อยทุกชามเลยค่ะ พูดไปเดี๋ยวจะไม่เชื่อ ฟ้องด้วยภาพกันไปเลยดีกว่า
เป็นอันจบทริปวันที่ 2 ค่ะ ขอตัวไปนอนพักผ่อนก่อนนะคะ ได้ข่าวว่า พรุ่งนี้ต้องไปจ่ายตลาดแต่เช้าค่า
“ของใช้ ของกิน งานศิลป์ บ้านบ้าน”
เราเริ่มต้นทริปวันนี้ด้วยการไป “หลาดใต้โหนด” ดูจากรากศัพท์แล้ว เดาได้ไม่ยากค่ะ มาจากคำว่า ตลาดใต้ต้นโตนดนั่นเอง “หลาดใต้โหนด” ขึ้นชื่อว่าเป็นตลาดสีเขียววัฒนธรรมเพื่อชุมชน ตลาดที่นี่ปลอดโฟม ภาชนะต่างๆ ที่นี่ใช้วัสดุธรรมชาติ และมีการคัดแยกขยะด้วย
แค่ป้ายชื่อร้าน ก็เก๋แล้ว
ดูแพคเกจจิงซะก่อน
เราประทับใจการแยกขยะที่นี่สุดๆเลยค่ะ น่ารัก^^
น้ำดื่มหวานชื่นใจ ในกระบอกไม้ไผ่จ้า แม้แต่หลอดก็มาจากธรรมชาติ ทำจากต้นลาโพค่ะ
วันนี้มีการแสดงรำมโนราห์ให้ดูด้วยค่ะ แหม มาถึงพัทลุงทั้งที จะพลาดดูมโนราห์ได้ไง จริงไหมล่ะคะ ชดช้อย สวยงามมาก <3
ขึ้นรถตู้ ต่อไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายของทริปนี้ เราไปกันที่หนานหมดแดงค่ะ ซึ่งที่นี่เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างพัทลุงกับนครศรีธรรมราชด้วยค่ะ มีกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กิจกรรมล่องแก่งสุดมันส์ ที่พักและอาหารก็มีบริการค่ะ
ต้องกลับสู่โลกความเป็นจริงแล้วค่ะ เราเลือกเดินทางกลับตั้งต้นที่สนามบินนครศรีธรรมราชค่ะ เพราะที่สุดท้ายเราอยู่ที่หนานมดแดง ซึ่งใกล้กับสนามบินนครฯ มากกว่าสนามบินหาดใหญ่ค่ะ วันนี้ต้องกลับสู่เมืองกรุง กลับไปทำงานที่เรารักกันต่อไปค่ะ ทำงานเก็บเงินเดินทางเที่ยววนไปค่ะ 555+ อย่าลืมนะคะว่าถึงแม้เราจะจ่ายเงินเพื่อการเดินทาง แต่เงินทอนที่ได้กลับมา คือประสบการณ์ที่คุ้มค่าเสมอ
ท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋ไม่เหมือนใครจริงๆค่ะ