กรมทางหลวงลงนามสัญญาจ้างโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา หนุน EEC ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค

01 สิงหาคม 2568, 16:35น.


กรมทางหลวงลงนามสัญญาจ้างโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา หนุน EEC ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค 

1 สิงหาคม 2568 – กรมทางหลวง โดยสำนักบริหารโครงการทางหลวงระหว่างประเทศ (สค.) จัดพิธีลงนามสัญญาจ้างโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ณ กรมทางหลวง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศให้ทันสมัยและเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ  



      นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า โครงการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)และการยกระดับสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของประเทศ ซึ่งจะช่วยรองรับปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารและสินค้ารวมถึงสนับสนุนการเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 7, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และแผนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ  

      โครงการดังกล่าวสืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2565 ที่ได้อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อสร้างทางยกระดับแนวใหม่ขนาด 4 ช่องจราจร และขยายช่องทางจราจรเพิ่มเติมในพื้นที่จังหวัดระยอง ซึ่งจะช่วยลดระยะทางจากการเดินทางโดยทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยา – มาบตาพุด สู่สนามบินอู่ตะเภา จากเดิม 5 กิโลเมตร เหลือเพียง 1.92 กิโลเมตร รวมถึงปรับปรุงการเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) โครงการนี้จะช่วยให้ประชาชนเดินทางเข้า-ออกสนามบินอู่ตะเภาได้อย่างสะดวก รวดเร็ว รองรับ EEC ให้เป็นเมืองท่า ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบินและเมืองธุรกิจที่สำคัญของไทย  



      สำหรับรูปแบบโครงการครอบคลุมการก่อสร้างทางยกระดับแนวใหม่ขนาด 4 ช่องจราจร ระยะทาง 1.92 กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างทางบริการใต้ทางยกระดับ รวมถึงช่องทางเลี้ยวและทางแยกต่างระดับบริเวณจุดตัดกับทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) โดยมีจุดเริ่มต้นจากทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงพัทยา – มาบตาพุด   กม.ที่ 148+328 ไปจนถึงบริเวณทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3 พร้อมทั้งทำการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) ระหว่าง กม.ที่ 186+350 ถึง กม.ที่ 192+000 โดยขยายจาก 4 ช่องจราจร เป็น 8 ช่องจราจร รวมระยะทาง 5.65 กิโลเมตร ในวันนี้ (1 ส.ค. 68) กรมทางหลวงได้ทำการลงนามสัญญาจ้างกับผู้รับจ้างจำนวน 2 สัญญา ประกอบด้วย: 



      1
.สัญญาจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง (Construction Supervision Consultant, CSC) กับกิจการค้าร่วม (Consortium) ประกอบด้วย Epsilon Co., Ltd., Index International Group Public Company Limited และ Decade Consultants Co., Ltd. วงเงินสัญญา 125,847,000 บาท  

      2.สัญญาจ้างก่อสร้าง กับ Sino-Thai Engineering & Construction Public Company Limited (STECON) วงเงินสัญญา 2,651,988,700 บาท  

      ทั้งสองสัญญาเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณของราชอาณาจักรไทย และเงินกู้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank, ADB)  



      นายอภิรัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมทางหลวงได้ดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างอย่างโปร่งใส โดยมีการประกวดราคานานาชาติ และโครงการได้เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการดำเนินงานเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล โครงการนี้มีระยะเวลาการก่อสร้างตามสัญญาอยู่ที่ 3 ปี โดยได้ดำเนินการเวนคืนที่ดินเสร็จสิ้น 100% แล้ว คาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้ภายในเดือนกันยายนนี้ และจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2571  



      เมื่อโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาแล้วเสร็จ จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวของประเทศไทยในระยะยาว สามารถลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ประกอบการและประชาชนโดยการลดระยะทางเข้าสู่สนามบินอู่ตะเภา และการขยายช่องจราจรจะช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดปัญหาการจราจรติดขัด สนับสนุนการพัฒนา EEC ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดการลงทุน การค้า และการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการบินและเมืองธุรกิจที่สำคัญของไทย รองรับการเดินทางแบบไร้ร้อยต่อระหว่างสนามบินอู่ตะเภา รถไฟความเร็วสูง และการเดินทางทางถนน นับเป็นการเชื่อมต่อที่สะดวกสบายจะช่วยสนับสนุนให้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภากลายเป็นสนามบินเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 อย่างเต็มศักยภาพ รองรับปริมาณผู้โดยสารและสินค้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนเข้ามาในพื้นที่ ส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรม การค้า และบริการ พร้อมทั้งการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตในอนาคต  

      กรมทางหลวงมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงข่ายคมนาคมของประเทศให้มีความสมบูรณ์ รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม ตอบสนองความต้องการของประชาชน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคอย่างยั่งยืน.



 

X