เปิดผลสำรวจนิสิตนักศึกษา 8 วิชาชีพสุขภาพ ยังใช้ "บุหรี่ไฟฟ้า" 2.33% เสพติดนิโคตินรุนแรง 51.3% เคยเลิกบุหรี่ 68.5% พบ "เพื่อน กลิ่น รส" ปัจจัยสำคัญในการสูบ ชี้ 88% เห็นด้วยว่าบุคลากรสุขภาพควรเป็นต้นแบบไม่สูบบุหรี่ สสส. สานพลังเครือข่ายวิชาชีพด้านสุขภาพ แพทยสมาคมฯ สร้างค่านิยมปลอดบุหรี่ในสถานศึกษา พัฒนาหลักสูตรรู้ทันพิษภัยยาสูบและการเลิกบุหรี่ หวังพัฒนาศักยภาพเป็นกำลังหลักของระบบสุขภาพควบคุมยาสูบในอนาคต
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 8 ก.ค. 2568 ที่อาคารมหิตลาธิเบศร กระทรวงสาธารณสุข ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา พร้อมด้วย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ รศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ร่วมแถลงข่าวผลการสำรวจพฤติกรรม ทัศนคติและการได้รับความรู้ด้านการบริโภคยาสูบของนิสิตนักศึกษาวิชาชีพสุขภาพในประเทศไทย และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสภาวิชาชีพสุขภาพเพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบายและกิจกรรมควบคุมการบริโภคยาสูบในวิชาชีพสุขภาพ
ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี กล่าวว่า เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ และแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ สสส. ได้สำรวจพฤติกรรม ทัศนคติ และการเรียนการสอนด้านการควบคุมยาสูบของนิสิตนักศึกษาในสาขาวิชาชีพสุขภาพ (Global Health Professions Student Survey : GHPSS) ครั้งที่ 4 ครอบคลุมนักศึกษา 8 สาขา ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัช พยาบาล เทคนิคการแพทย์ กายภาพบำบัด สาธารณสุข และสัตวแพทย์ รวม 17,572 คน เพื่อรับทราบสถานการณ์การบริโภคยาสูบของนิสิตนักศึกษาวิชาชีพสุขภาพ เพื่อนำไปกำหนดนโยบายหรือแนวทางพัฒนาหลักสูตร ส่งเสริมทัศนคติที่เหมาะสม ขับเคลื่อนมาตรการลดการบริโภคยาสูบ และพัฒนาศักยภาพของกลุ่มนิสิตนักศึกษาวิชาชีพสุขภาพให้พร้อมเป็นกำลังหลักในการสร้างระบบสุขภาพที่เข้มแข็งนำไปไปสู่สังคมสุขภาวะที่ยั่งยืน
รศ.นพ.สุทัศน์ กล่าวว่า จากผลสำรวจ GHPSS พบอัตราการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกชนิดในนิสิตนักศึกษาวิชาชีพสุขภาพมีแนวโน้มลดลงเหลือ 2.57% แม้สัดส่วนการสูบบุหรี่ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึง 2.33% ในขณะที่สูบบุหรี่มวนเพียง 0.66% โดยเฉลี่ยสูบบุหรี่วันละ 2-3 มวน แต่สูบบุหรี่ไฟฟ้าถึงวันละ 30-99 คำ นอกจากนี้ 51.3% ของนิสิตนักศึกษาเหล่านี้มีระดับการเสพติดนิโคตินระดับรุนแรง ยังพบการใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินรูปแบบใหม่ๆ เช่น นิโคตินถุง และพบการใช้กัญชาและน้ำกระท่อมร่วมกับบุหรี่ไฟฟ้าด้วย ในแง่ของการได้รับควันบุหรี่มือสองพบว่า มีคนมาสูบใกล้ตัวในสถานศึกษา 17.9% ทั้งที่เป็นสถานที่ห้ามสูบบุหรี่ทุกชนิด กลุ่มตัวอย่างเหล่านี้เคยเลิกบุหรี่ภายใน 1 ปีที่ผ่านมามากถึง 68.5% สำหรับกลุ่มที่ยังสูบบุหรี่ระบุว่าต้องการเลิกสูบภายใน 30 วัน สูงถึง 20% และต้องการเลิกสูบภายใน 6 เดือนอีก 12.4%
“กลุ่มนิสิตนักศึกษา ไม่เห็นด้วยว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่แบบเดิมถึง 70.8% อย่างไรก็ตาม ราว 1 ใน 3 ยังมองว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าแฟชั่นสำหรับวัยรุ่น 31.2% ระบุว่า กลิ่นรสที่หลากหลายทำให้อยากทดลองใช้ และการสูบบุหรี่ไฟฟ้าทำให้เข้ากับเพื่อนได้ง่าย 66.6% ปัจจัยที่ทำให้หันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ เพื่อน และกลิ่น/รสของบุหรี่ไฟฟ้า ขณะที่ สถาบันการศึกษาได้จัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับยาสูบดีขึ้นกว่าเดิม โดยได้รับการสอนเรื่องพิษภัยของยาสูบมากถึง 81.5% การเลิกบุหรี่ 72.9% ยาช่วยเลิกบุหรี่ 68.6% และกลยุทธ์ของธุรกิจยาสูบ 44.9% นอกจากนี้ ยังเห็นว่าบุคลากรวิชาชีพสุขภาพควรให้คำแนะนำในการเลิกบุหรี่แก่ผู้ป่วยมากถึง 93.2% และควรเป็นต้นแบบของการไม่สูบบุหรี่สำหรับผู้ป่วยถึง 88%” รศ.นพ.สุทัศน์ กล่าว
ด้าน นพ.พงศ์เทพ กล่าวว่า สสส. เห็นความสำคัญของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีบทบาทเชิงรุกในการป้องกันและลดผลกระทบจากยาสูบ จึงสานพลังการทำงานร่วมกับเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่อย่างเป็นระบบใน 5 ด้าน 1.พัฒนาองค์ความรู้และหลักฐานทางวิชาการที่เกี่ยวกับยาสูบ เช่น แนวทางการใช้ยาเลิกบุหรี่หรือแผ่นแปะนิโคติน พัฒนาชุดตรวจโคตินในน้ำลาย 2.พัฒนาศักยภาพของบุคลากรวิชาชีพสุขภาพ เช่น พัฒนาทักษะการให้บริการเลิกบุหรี่ ส่งเสริมระบบพี่เลี้ยงด้านการควบคุมยาสูบในโรงพยาบาล 3.หนุนเสริมระบบบริการสุขภาพ การช่วยเลิกบุหรี่ของ “คลินิกฟ้าใส” 545 แห่งทั่วประเทศ 4.ส่งเสริมและผลักดันให้เกิดเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ 5.สื่อสารสาธารณะและสร้างต้นแบบบุคลากรทางวิชาชีพสุขภาพในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและเป็นนักสื่อสารสุขภาพที่สร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนกว่า 800 คน
“ภาพรวมอัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 10.8 ล้านคน ในปี 2550 เหลือ 9.8 ล้านคน ในปี 2567 แต่การสูบบุหรี่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด 2-4 เท่า และโรคมะเร็งปอด 25 เท่า ภาครัฐต้องแบกภาระค่ารักษาพยาบาลจากโรคที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหอบหืด สูงถึง 306,636,973 บาท” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว
นพ.พงศ์เทพ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันไทยต้องเผชิญความท้าทายใหม่ๆ ทั้งการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า/ผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ และการตลาดเชิงรุกที่มุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชน ดังนั้น บทบาทของเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะการป้องกันการเริ่มต้นสูบบุหรี่ในกลุ่มเด็กและเยาวชน ผ่านการให้ความรู้ การสร้างค่านิยมปลอดบุหรี่ในสถานศึกษา ชุมชน และสถานบริการสุขภาพ การสื่อสารเชิงรุกเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับพิษภัยของยาสูบ ควบคู่ไปกับการให้คำปรึกษา การบำบัดรักษาการติดนิโคติน และสนับสนุนผู้ต้องการเลิกบุหรี่ เชื่อว่าหากทุกภาคส่วนร่วมมือดำเนินงานควบคุมยาสูบอย่างใกล้ชิด ต่อเนื่อง และมุ่งมั่น จะสามารถร่วมกันสร้างสังคมไทยปลอดบุหรี่ที่ไม่ใช่เพียงถ้อยคำเชิงสัญลักษณ์บนกระดาษ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และถือเป็นก้าวสำคัญของการปกป้องสุขภาพของคนไทย เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้นต่อไป