เวทีเสวนา "พื้นที่รูปธรรมการขับเคลื่อนงานมาตรการองค์กรด้านความปลอดภัยทางถนน" ในงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ ครั้งที่ 37 วันที่ 11 มิ.ย. 2568 ‘นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์‘ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. กล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน โดยฉายภาพระบบนิเวศงานความปลอดภัยทางถนนและบทบาทของหน่วยงานสนับสนุน

นางก่องกาญจน์ กล่าวว่า แนวคิด RSO (Road Safety Organization) เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริงในโรงงานเล็ก ๆ ที่อำเภอบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ที่กล้าหันมาดูแลพนักงานของตัวเองให้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ปลอดภัย ใส่หมวกกันน็อคทุกครั้ง ได้ผลชัดเจนลดอุบัติเหตุได้จริง
จากจุดเล็ก ๆ นี้ ขยายผลสู่มากกว่า 2,000 องค์กรทั่วประเทศในเวลา 10 ปี ภายใต้แคมเปญ "ห่วงใครให้ใส่หมวก" เพราะเราเชื่อว่าองค์กรทุกที่สามารถเป็นจุดเปลี่ยนได้ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน อปท. บริษัท หรือหน่วยงานรัฐ RSO คือการรวมพลังของคนในองค์กร เพื่อดูแลกันเอง และขยายผลสู่ชุมชนรอบข้าง มันไม่ได้ยุ่งยาก ไม่ต้องรอคำสั่งจากใคร ขอแค่มีใจและเชื่อว่า "การเปลี่ยนแปลงเริ่มได้จากที่นี่"
นางก่องกาญจน์ กล่าวว่า องค์กรสามารถทำได้หลายอย่าง เช่น ตรวจเช็กสภาพรถของพนักงาน ตั้งจุดเตือนพฤติกรรมเสี่ยงสร้างความรู้ความเข้าใจด้านความปลอดภัย ร่วมมือกับ อปท. และชุมชนรอบข้างเพื่อดูแลจุดเสี่ยงในพื้นพื้นที่ เรามีพี่เลี้ยงจาก "แผนงาน สอจร." พร้อมสนับสนุนทุกจังหวัด มีเครื่องมือ RSO ที่ออกแบบมาให้ใช้ง่าย เห็นขั้นตอนชัดเจน และปรับใช้ได้ตามบริบทของแต่ละพื้นที่ สิ่งสำคัญคืออย่ารอให้เกิดอุบัติเหตุก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ เพราะเมื่อชีวิตใครสักคนหายไป มันเอาคืนไม่ได้
“อุบัติเหตุทางถนนไม่ใช่แค่ตัวเลยในข่าว แต่มันคือโศกนาฎกรรมที่พรากชีวิตคนที่เรารัก จากสถิติปี 2567 คนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมากถึง 17,417 คน กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือวัยทำงาน คนที่ยังมีบทบาทสำคัญกับครอบครัวและประเทศชาติ สิ่งที่เราทำได้...ไม่ใช่แค่การให้ความรู้ แต่ต้องลงมือเปลี่ยนวิถีองค์กรด้วยแนวทางที่จับต้องได้“ นางก่องกาญจน์ กล่าว
ด้าน ‘พรพิมล สามสี’ ร้านเค้กกนิษฐา จ.ตรัง กล่าวถึงจุดเริ่มต้นการขับเคลื่อนมาตรการองค์กรด้านความปลอดภัยทางถนนว่า เกิดจากการสูญเสียบุคลากรอันเป็นที่รักจากอุบัติเหตุทางถนน ประกอบกับมีเครือข่ายพี่เลี้ยง สอจร. (แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัด) ชักชวนเข้าร่วมมาตรการองค์กรฯ โดยมีการให้ความรู้ในเรื่องการขับขี่ปลอดภัย สร้างจิตสำนึกและความตระหนักรู้ ซึ่งหลังภายหลังเข้าร่วมโครงการพนักงานได้ปรับพฤติกรรมมาสวมหมวกกันน็อก 100% อันเกิดจากแรงผลักดันของทุกคนที่อยากขับขี่ปลอดภัย

“ถ้าเจ้าของสถานประกอบการไม่มีใจ ก็จะไม่สามารถร่วมโครงการได้ ในฐานะสถานประกอบการเล็ก ๆ ผลที่ได้มากกว่า 100% เพราะพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัย การสวมหมวกกันน็อก ยังขยายไปถึงครอบครัวพนักงานด้วย เหมือนสมัยนี้ทุกคนต้องมีมือถือติดตัวไปทุกที่ ก็อยากให้สวมหมวกกันน็อกทุกครั้งที่ขับขี่ด้วยเหมือนกัน” พรพิมล กล่าว
‘ลัดดาวรรณ อินธรรม’ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย แผนกความปลอดภัย บริษัท เอ็มเอ็ม ซี ทูลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีพนักงานไม่ต่ำกว่า 1,300 คน ด้วยสถานที่ตั้งอยู่ในนิคมฯ บางประอิน เป็นพื้นที่ที่มีโรงงานเยอะ เมื่อคนเยอะการจราจรก็เยอะตามไปด้วย ทำให้เกิดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเยอะ โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวชนในช่วงเร่งรีบ และรวมถึงพฤติกรรมเมาแล้วขับ
ดังนั้น นอกจากการดำเนินมาตรการองค์กรในสถานประกอบการ ตามนโยบายจากบริษัทแม่ที่มุ่งเน้นการลดและป้องกันอุบัติเหตุทางถนน ทั้งการประชุมวิเคราะห์ข้อมูล การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้ข่าวสารความรู้ผ่านเสียงตามสาย และรณรงค์ปฎิบัติตามกฎจราจร รวมถึงประกาศเป็นนโยบาย เน้นย้ำสวมหมวกกันน็อก 100% คาดเข้มขัดนิรภัยในเขตพื้นที่โรงงาน และดื่มไม่ขับ มีการสุ่มเป่าแอลกอฮอล์ ห้ามเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถ้าเกิดจะให้กลับบ้าน ไม่ต้องทำงานในวันนั้น
ยังมีการทำกิจกรรมเชื่อมโยงออกไปยังพื้นที่โดยรอบสถานประกอบการ เนื่องจากเป็นแหล่งพักอาศัยของพนักงาน เป็นการทำเพื่อสังคมด้วย เชื่อมโยงไปยังชุมชน มีการสำรวจจุดเสี่ยงเส้นทางเดินทางจากบ้านมายังบริษัท รวบรวมข้อมูลประสานต่อไปยังหน่วยงาน เช่น สอจร. ตำรวจ ทางหลวง เพื่อเข้ามาประบปรุงจุดเสี่ยงให้ปลอดภัยตามหลักวิศวกรรม

“หลังเข้าร่วมมาตรการองค์กร สถิติอุบัติเหตุลดลง และ พนง.ให้ความร่วมมือมากขึ้น แม้แรก ๆ จะลำบาก แต่การย้ำเตือนบ่อย ๆ ก็ช่วยให้ทุกคนค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมได้“ ลัดดาวรรณ กล่าว
ด้าน ‘ชนิดาภา ประทีป ณ ถลาง’ Fleet safety บริษัท หาดทิพย์ จำกัด บอกว่า เข้าร่วมมาตรการองค์กรฯ มาสักระยะ พร้อมกับบริษัทแม่มีข้อกำหนดนโยบายในเรื่องขนส่งที่สูงกว่ากฎหมายไทย เนื่องจากมีการขนส่งสินค้าในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ และมีเซลล์ขับมอเตอร์ไซค์วิ่งไปเก็บคำสั่งซื้อสินค้า จึงมีการออกใบขับขี่ของบริษัทให้ต่างหากด้วย โดยพนักงานต้องผ่านการฝึกอบรม ซึ่งยากกว่าที่ออกให้โดยกรมการขนส่งทางบกออกให้ มีการจัดทำคู่มือการปฏิบัติสำหรับพนักงาน โดยเฉพาะคนขับรถ ขยายไปถึงลูกค้าและ นศ.ฝึกงานด้วย กฎข้อแรกคือต้องสวมหมวกกันน็อก 100% และคาดเข็มขัดนิรภัย

เหตุผลที่เราเข้าร่วมโครงการเพราะอยากได้ความปลอดภัยในการเดินทางนอกงานด้วย เพราะสถิติพบว่าอุบัติเหตุมักเกิดขึ้นกับพนักงานคนต่างถิ่นมากที่สุด จากการลงพื้นที่สำรวจจุดเสี่ยงใน จ.ภูเก็ต จึงได้นำเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ นำมาสื่อสารและฝึกอบรม เพื่อให้ขับขี่ขนส่งสินค้าได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการกำหนดจุดจอดรถในการส่งของด้วย ซึ่งช่วยลดอุบัติเหตุลงได้เช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนติดตั้งสัญญาณ Telematics เทคโนโลยีการส่ง รับ และจัดเก็บข้อมูล 35 ล้านบาท เพื่อติดตามพฤติกรรมการขับรถ หากไม่ขาดเข็มขัดจะสตาร์ทรถไม่ได้ และต้องเสียบบัตรขับขี่ที่บริษัทออกให้ถึงจะสตาร์ทรถได้ และยังมีทีมงานคอยมอนิเตอร์ผ่ารกล้อง จับสังเกตพนักงานขับรถ หากพบกระพริบตาบ่อยจะมีการโทรเข้าไปสอบถามอาการ
ขณะที่ ‘ธนพงศ์ อรชร‘ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดภูเก็ต บอกว่า พยายายามชวนสถานประกอบการให้ลุกขึ้นมาเห็นความสำคัญในการดำเนินมาตรการองค์กรฯ แน่นอนว่าเรามีกฎหมาย
อยู่แล้ว ทั้งเรื่องค่าจ้าง วันหยุด หรือความปลอดภัยในที่ทำงาน แต่เรายังสามารถขยายขอบเขตของ "ความปลอดภัย" ไปให้ไกลกว่าสถานประกอบการหรือสำนักงานได้ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงของทุกคน

สิ่งที่เราเน้นคือบทบาทของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน หรือ จป. โดยเฉพาะในสถานประกอบการที่มีรถจำนวนมาก เช่น ธุรกิจขนส่ง ต้องไม่ลืมว่า "รถ" คือ "เครื่องจักรเคลื่อนที่" และมีกฎหมายบังคับให้ตรวจสอบสภาพก่อนออกถนน ถ้าล้อหลุดจากความบกพร่อง เราไม่ได้เสียแค่รถเราอาจเสียชีวิต
.jpg)
จป. ในองค์กรมีบทบาทสำคัญมาก ตั้งแต่ตรวจรถ บังคับให้ใส่หมวกนิรภัยไปจนถึงสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยแบบเข้มข้นในองค์กร หลายคนอาจบอกว่า "แต่มันอยู่นอกกฎหมายจะไปทำยังไง?" ผมเชื่อว่ากฎหมายคือสิ่งหนึ่ง แต่ "ใจ" ต่างหากคือสิ่งสำคัญ ถ้าผู้นำไม่มีใจ ข้ออ้างจะตามมาเสมอ แต่ถ้ามีใจ แม้กฎหมายไม่ไม่บังคับ เราก็ขยับได้
