"เลขาฯ สปสช." ชี้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ไม่ได้ทำลายระบบสาธารณสุข กลับกัน หากไม่ทำนโยบายนี้ ระบบอาจล่มสลายได้ ย้ำเจตนานโยบายของรัฐบาลต้องการแบ่งเบาภาระงานของ รพ. พร้อมเสริมระบบสุขภาพของประเทศให้ยั่งยืน ยืนยันยินดีเอาทุกข้อกังวลไปพิจารณาดำเนินการให้
จากประเด็นที่ผู้บริหารโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกมาระบุถึงประเด็นเงินบำรุงโรงพยาบาลลดลงจากการให้บริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยใน ของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) และหากปล่อยสถานการณ์ไว้เช่นนี้ต่อไประบบสาธารณสุขจะล่มสลายภายใน 3 ปี ก่อนที่จะมีการขยายประเด็นต่อในสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง รวมถึงเชื่อมโยงมาถึงนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ของรัฐบาลที่ถูกมองว่ารัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้นโยบายนี้มากกว่างบประมาณด้านการรักษาพยาบาลนั้น
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวขณะร่วมเสวนาเรื่อง "นวัตกรรมร้านยาและคลินิกการพยาบาล : แนวทางสู่อนาคตระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ" ภายในงานประชุมวิชาการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ปี 2568 ที่จัดโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมาว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ รัฐบาลออกแบบนโยบายเพื่อมาแก้ปัญหาของระบบสาธารณสุขในประเทศ เพื่อแบ่งเบาภาระงานจากโรงพยาบาลในการให้บริการกับผู้ป่วย ที่อาจเจ็บป่วยเล็กน้อยเพื่อให้ได้มีทางเลือกในการเข้ารับบริการสุขภาพกับหน่วยบริการนวัตกรรมทั้ง 7 แห่งในนโยบาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาล หรือ สปสช. ในฐานะที่บริหารจัดการสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง 30 บาท คิดอยากจะทำก็ทำ แต่นโยบายนี้มาจากปัญหา และเป็นนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหา
"เพราะการให้บริการปฐมภูมิต้องมุ่งเน้น เพื่อแบ่งเบาภาระงานจากโรงพยาบาล และเปิดพื้นที่ให้บุคลากรได้ดูแลผู้ป่วยที่จำเป็น และประชาชนก็สะดวกมากขึ้นในการมีทางเลือกเพื่อเข้ารับบริการ และไม่ต้องรอคิวเข้ารับบริการนานเมื่อต้องไปโรงพยาบาล แต่สามารถไปยังหน่วยบริการนวัตกรรมต่างๆ เหล่านี้ได้แทน ซึ่งหากไม่ทำนโยบายนี้ หรือสนับสนุนบริการสุขภาพปฐมภูมิ ระบบสาธารณสุขของไทยจะไม่ยั่งยืนแน่นอน และผมเรียกว่าอาจล่มสลายไปได้เลย" นพ.จเด็จ กล่าวตอนหนึ่ง
เลขาธิการ สปสช. กล่าวย้ำอีกว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่มาจากปัญหาและรัฐบาลต้องการแก้ไขจึงได้มีนโยบายนี้ออกมา พร้อมกับให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ สปสช. รับนโยบายนี้ไปดำเนินการเพื่อขับเคลื่อน ซึ่งเมื่อ สปสช.รับนโยบายมา ก็ได้หารือกันเพื่อออกแบบแผนการดำเนินงาน ซึ่งหากจะบอกว่าประชาชนสิทธิบัตรทองไปรักษาได้ทุกที่ เชื่อว่าประชาชนก็จะไปที่โรงพยาบาลกันจำนวนมาก และจะยิ่งทำให้เป็นภาระงานของบุคลากรแพทย์ที่หนักมากจนเกินไป
ดังนั้น สปสช.จึงออกแบบแนวทางการขับเคลื่อนโดยชวนหน่วยบริการปฐมภูมิจากภาคเอกชนใน 7 บริการมาร่วมเป็นหน่วยบริการในนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อที่จะให้ประชาชนสิทธิบัตรทอง ไปรับบริการยังหน่วยบริการนวัตกรรมเหล่านี้ก่อนเป็นอันดับแรกเมื่อเจ็บป่วย เพื่อลดการไปโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น ซึ่งหน่วยบริการนวัตกรรมสามารถดูแลและให้บริการปฐมภูมิได้ พร้อมกับมีระบบส่งต่อหากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง และเกินกว่าศักยภาพของหน่วยบริการจะดูแลได้
"นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอยากจะมาทำลายระบบสาธารณสุข แต่มาเสริมระบบ แบ่งเบาภาระงานจากระบบ เจตนาของนโยบายคือเช่นนั้น" เลขาธิการ สปสช. กล่าวย้ำ
นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า ในส่วนประเด็นที่ระบุว่าระบบสาธารณสุขจะล่มสลายใน 3 ปีเนื่องจากสิทธิประโยชน์ในระบบไม่ได้เตรียมงบประมาณรองรับ ยืนยันว่า ทุกสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จะต้องมีงบประมาณมารองรับทุกครั้ง และทุกสิทธิประโยชน์ก็ผ่านการพิจารณาร่วมกันของ บอร์ด สปสช. และพิจารณาถึงการขอจัดสรรงบประมาณสำหรับสิทธิประโยชน์นั้นๆ ด้วย และเป็นหลักในการทำงานและบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพฯ ของ สปสช.
“อย่างเช่นนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ก็มีการประชุมภายในบอร์ สปสช. และตกลงเห็นด้วยร่วมกันว่า หากจะทำนโยบายนี้ด้วยรูปแบบการจัดการที่ได้พิจารณากำหนดเป็นแนวทาง ก็ต้องใช้เงินงบประมาณ 7,900 ล้านบาท ซึ่งก็ต้องของบไปกับรัฐบาล เพื่อดำเนินการตามนโยบาย เป็นต้น ซึ่งทุกสิทธิประโยชน์และนโยบายต่างๆ จะต้องมีการของบประมาณรองรับเสมอ"” นพ.จเด็จ กล่าวย้ำ
เลขาธิการ สปสช. กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในส่วนประเด็นและข้อเสนอต่างๆ จากผู้ให้บริการ รวมถึง นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่เสนอก่อนหน้านี้ ทั้งในด้านการเพิ่มงบประมาณด้านการรักษาพยาบาล รวมถึงประเด็นอื่นๆ ด้วยความห่วงใย และความเป็นกังวลต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ ซี่ง สปสช. ก็พร้อมจะนำไปดำเนินการและพิจารณาเพื่อขับเคลื่อน และยินดีที่จะทำงานร่วมกันกับทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันแก้ปัญหานี้
“ขอให้มั่นใจว่า สิ่งที่ทุกๆ ท่านเสนอมา สปสช.จะรับไว้พิจารณาและดำเนินการ สิ่งใดที่เสนอมา สปสช.ก็ต้องกลับมาดู ทั้งเรื่องต้นทุนค่าบริการที่เพียงพอหรือไม่ หรือประเด็นการเพิ่มงบประมาณการรักษาพยาบาล ก็ต้องพิจารณาและมีข้อมูลมารองรับ เพื่อเสนอให้ผู้กำหนดนโยบายได้พิจารณาตัดสินใจ แต่ระหว่างบรรทัดก็ต้องมาทำความเข้าใจ มาทำงานร่วมกัน และ สปสช.ก็พร้อมจะรับฟัง” เลขาธิการ สปสช. กล่าวย้ำ