อ้วนซ่อนรูป เสี่ยงเป็นโรคไขมันพอกตับโดยไม่รู้ตัว

05 มกราคม 2566, 16:16น.


      หลายคนอาจจะสงสัยว่าโรคไขมันพอกตับคืออะไร ทำไมเราถึงต้องกลัว โรคไขมันเกาะตับ คือ ภาวะที่ไขมันเข้าไปแทรกที่เซลล์ของตับมากกว่า 5 – 10% ของน้ำหนักตับ สาเหตุของการเกิดโรคไขมันพอกตับ เกิดได้หลายสาเหตุ ส่วนใหญ่มักพบบ่อยในชาวเอเชียและคนไทยที่มีภาวะอ้วนลงพุงจากพฤติกรรมการกินที่ไม่คำนึงถึงสุขภาพของตัวเอง รับประทานอาหารมีประโยชน์น้อย ใช้ชีวิตติดอยู่กับที่ไม่ชอบออกกำลังกาย แม้ว่าโรคนี้มักเกิดขึ้นในคนที่มีภาวะอ้วน แต่คนที่ดูเหมือนไม่อ้วน น้ำหนักตัวน้อย ซึ่งมักไม่รู้ว่าตัวเองมีระดับไขมันในเลือดสูง ก็มีสิทธิ์เป็นไขมันพอกตับได้โดยไม่รู้ตัว

โรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1.เกิดจากจากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol-related Fatty Liver Disease) เนื่องจากร่างกายได้รับแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ตับของเราไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติจนเกิดการสะสมของไขมันที่ตับ ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับประเภท ปริมาณ และระยะเวลาในการดื่ม

2.ไม่ได้เกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  (Non-alcoholic Fatty Liver Disease) ซึ่งมีผลเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย ส่วนหนึ่งมาจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบการเผาผลาญ จนทำให้เกิด โรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง รวมไปถึงไวรัสตับอักเสบซี



ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับ




  1. ผู้เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน น้ำตาลในเลือดสูง


  2. ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง ชนิดของไขมันที่สูงนั้นอาจเป็น คอเลสเตอรอลสูง หรือ ไตรกลีเซอไรด์


  3. ไม่ออกกำลังกาย อยู่กับที่ทั้งวันจนติดเป็นนิสัย


  4. ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ


  5. รับประทานของทอด ของมัน ไม่ทานผักผลไม้


  6. หากคนในครอบครัวเป็นโรคไขมันพอกตับก็สามารถเป็นได้ผ่านทางพันธุกรรม



      หากคิดว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้ารับการวินิจฉัยโรคไขมันพอกตับที่โรงพยาบาลได้โดยการตรวจเลือด, ตรวจอัลตราซาวนด์, ตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า, การเจาะชิ้นเนื้อตับเพื่อตรวจ หรือ การตรวจระดับความแข็งของตับและวัดปริมาณไขมันในตับด้วยเครื่อง FibroScan



วิธีการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันพอกตับ สามารถทำได้ง่ายๆ มีดังนี้




  1. หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีอย่างน้อยปีละ 1 – 2 ครั้ง


  2. ออกกำลังกายเป็นประจำควบคู่กับการคุมน้ำหนักให้คงที่ แนะนำการออกกำลังกายที่ใช้แรงเพื่อเผาผลาญ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก บอดี้เวท


  3. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ลดของมัน ของทอด ทานผักผลไม้ให้มากขึ้น


  4. ควบคุมคาร์โบไฮเดรตให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากทานมากเกินไป ร่างกายจะเปลี่ยนให้เป็นไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้


  5. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลงหรือดื่มในปริมาณที่เหมาะสม



สามารถคำนวนหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) เพื่อควบคุมน้ำหนัก ได้ที่

โปรแกรมคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (BMI) โรงพยาบาลกรุงเทพ : https://www.bangkokhospital.com/page/bmi



ที่มา : โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์



X