PM2.5 อันตราย ป้องกันไม่ดีอาจเสี่ยงมะเร็งปอดได้

03 มกราคม 2566, 16:18น.


      ในปัจจุบันฝุ่น PM 2.5 เริ่มวนเวียนอยู่รอบตัวเราจนกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งที่มาของฝุ่นส่วนใหญ่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องจักร การเผาหญ้า เผาขยะ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ของรถยนต์ที่สัญจรไปมาบนท้องถนน ฝุ่นมักเริ่มก่อตัวขึ้นช่วงเวลาที่สภาพการจราจรหนาแน่น รถติดเป็นเวลานาน หรือเป็นวันที่มีอากาศเย็น 

      องค์กรอนามัยโลก (WHO) ตั้งค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM 2.5 ในอากาศ ไว้ว่า ถ้าหากมีเกินกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ขณะที่ประเทศไทยได้กำหนดอันตรายของฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่  50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งในแต่ละวันค่าฝุ่นที่วัดได้ในพื้นของกรุงเทพมหานคร จะอยู่ที่ 50 - 60 
ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร 

      ผลกระทบที่ได้รับฝุ่นละอองอนุภาคเล็ก PM 2.5 ในระยะสั้นๆนั้น ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิว ดวงตา จมูก ไอ จาม มีเสมหะ หายใจติดขัด รวมทั้งอาจจะทำให้คนป่วยโรคหอบหืดอาการกำเริบได้ ส่วนในระยะยาวนั้น ยิ่งปอดของเรารับฝุ่นละอองเข้าไปมากเท่าไรยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆได้ เช่น  หัวใจวายเฉียบพลัน หลอดเลือดสมองตีบ และอาจถึงขั้นเป็นมะเร็งปอดโดยที่เราไม่รู้ตัว แม้ฝุ่นจะมีขนาดเล็กแต่ก็ถือว่าเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง ที่ส่งผลให้สภาพปอดมีสมรรถภาพลดลง

      ยิ่งในช่วงต้นปีที่อากาศเย็นอยู่ยิ่งเพิ่มการสูดเอาละอองฝุ่น PM2.5 เข้าสู่ทางเดินหายใจและปอดมากขึ้น ด้วยความที่มีละอองฝุ่นขนาดเล็กจึงสามารถเข้าไปกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของหลอดลมขนาดเล็กทั่วปอด ก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้ แต่ใช่ว่าทุกคนที่ได้รับฝุ่นควันจะกลายเป็นมะเร็งปอดกันทุกคน เพราะยังมีอีกหลายวิธีที่ร่างกายสามารถเอาชนะฝุ่น PM 2.5 นี้ได้




  1. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีการจราจรติดขัด ฝุ่นควันรถ หรือสถานที่แออัด


  2. ออกกำลังกายในที่โปร่ง โล่งสบาย หากวันไหนค่าฝุ่นเยอะ แนะนำให้ออกภายในบ้าน เพราะการออกกำลังกายใช้แรงมากหรือหายใจแรง ยิ่งเพิ่มการสูดเอาละอองฝุ่นผง PM2.5 เข้าสู่ทางเดินหายใจและปอดมากขึ้น


  3. รับประทานสารอาหารที่มีสรรพคุณในการช่วย Detox ปอด เช่น เครื่องเทศ สมุนไพร


  4. รับประทานผัก ผลไม้ ที่มีวิตามิน เบต้าแคโรทีน ผักสีส้ม เหลือง สารไลโคปีนในมะเขือเทศ หรือผักสีม่วง ที่มีแอนโทไซยานินสูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง ชะลอความเสื่อมของเซลล์


  5. ใช้เครื่องฟอกอากาศ ป้องกันฝุ่น ปลอดเชื้อโรค และอย่าลืมสวมหน้ากากอนามัย เช่น หน้ากาก N95 กรองได้อย่างน้อย  95%  และหน้ากาก N99 กรองได้มากถึง 99%



ที่มา : โรงพยาบาลสมิติเวช



X