ในปัจจุบันฝุ่น PM 2.5 เริ่มวนเวียนอยู่รอบตัวเราจนกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งที่มาของฝุ่นส่วนใหญ่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องจักร การเผาหญ้า เผาขยะ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ของรถยนต์ที่สัญจรไปมาบนท้องถนน ฝุ่นมักเริ่มก่อตัวขึ้นช่วงเวลาที่สภาพการจราจรหนาแน่น รถติดเป็นเวลานาน หรือเป็นวันที่มีอากาศเย็น
องค์กรอนามัยโลก (WHO) ตั้งค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM 2.5 ในอากาศ ไว้ว่า ถ้าหากมีเกินกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ขณะที่ประเทศไทยได้กำหนดอันตรายของฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งในแต่ละวันค่าฝุ่นที่วัดได้ในพื้นของกรุงเทพมหานคร จะอยู่ที่ 50 - 60 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ผลกระทบที่ได้รับฝุ่นละอองอนุภาคเล็ก PM 2.5 ในระยะสั้นๆนั้น ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิว ดวงตา จมูก ไอ จาม มีเสมหะ หายใจติดขัด รวมทั้งอาจจะทำให้คนป่วยโรคหอบหืดอาการกำเริบได้ ส่วนในระยะยาวนั้น ยิ่งปอดของเรารับฝุ่นละอองเข้าไปมากเท่าไรยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆได้ เช่น หัวใจวายเฉียบพลัน หลอดเลือดสมองตีบ และอาจถึงขั้นเป็นมะเร็งปอดโดยที่เราไม่รู้ตัว แม้ฝุ่นจะมีขนาดเล็กแต่ก็ถือว่าเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง ที่ส่งผลให้สภาพปอดมีสมรรถภาพลดลง
ยิ่งในช่วงต้นปีที่อากาศเย็นอยู่ยิ่งเพิ่มการสูดเอาละอองฝุ่น PM2.5 เข้าสู่ทางเดินหายใจและปอดมากขึ้น ด้วยความที่มีละอองฝุ่นขนาดเล็กจึงสามารถเข้าไปกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของหลอดลมขนาดเล็กทั่วปอด ก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้ แต่ใช่ว่าทุกคนที่ได้รับฝุ่นควันจะกลายเป็นมะเร็งปอดกันทุกคน เพราะยังมีอีกหลายวิธีที่ร่างกายสามารถเอาชนะฝุ่น PM 2.5 นี้ได้
ที่มา : โรงพยาบาลสมิติเวช