นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากรายงานการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด -19 ล่าสุดไทยฉีดวัคซีนแล้ว 123,568,670 โดส แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็ม 1 แล้ว กว่า 53 ล้านคน คิดเป็นความครอบคลุมร้อยละ 77 เข็ม 2 ได้รับแล้ว 49 ล้านคน หรือร้อยละ 71.5 เข็ม 3 ขึ้นไป 20 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 29.2 จากข้อมูลที่ผ่านมายืนยันวัคซีนทุกชนิดที่รัฐบาลนำมาบริการประชาชนมีความปลอดภัยผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประสิทธิภาพการป้องกันโรคเป็นไปตามมาตรฐาน แม้บางตัวอาจตอบสนองกับเชื้อแต่ละสายพันธุ์ต่างกัน ซึ่งกับสายพันธุ์ Omicron ทุกตัวตอบสนองลด จึงต้องฉีดเข็มกระตุ้นเป็นสำคัญ แต่จนถึงปัจจุบันวัคซีนทุกก็ยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิต แม้ Omicron จะไม่รุนแรง เชื้อไม่ลงปอด ส่วนใหญ่อยู่ที่โพรงจมูก จนทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะมีอาการเด่นคือ เจ็บคอ อัตราเกิดปอดอักเสบมีเพียงร้อยละ 0.45 แต่ยังทำให้มีผู้เสียชีวิต ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่ม 608 โดยเฉพาะผู้สูงอายุ จึงขอชวนผู้สูงอายุและกลุ่ม 608 มารับวัคซีน อย่างน้อย 2 เข็ม จะช่วยลดการเสียชีวิตได้ลงได้ 6 เท่า แต่หากรับเข็มกระตุ้น เข็ม 3 ขึ้นไป จะช่วยลดการเสียชีวิตลงถึง 41 เท่าเมื่อเทียบกับวัยเดียวกันที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน
.jpg)
ส่วนที่มีความกังวลเรื่องเชื้อ Omicron สายพันธุ์ BA.2 นั้น นพ.โอภาส กล่าวว่า BA.2 แพร่เร็วกว่าสายพันธุ์ BA.1 เล็กน้อย แต่ความรุนแรงไม่ต่างกัน ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคเรื้อรังถึงร้อยละ 70-80 ที่คาดจะเกิดจากตัวโรคเดิมเองเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม แม้โควิดตอนนี้จะแพร่เป็นวงกว้าง แต่สามารถชะลอได้ด้วยความร่วมมือของประชาชนช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการ VUCA หากเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด ผู้ติดเชื้อ คือมีการพูดคุยในระยะ ไม่เกิน 2 เมตรเกิน 5 นาที หรืออยู่ห้องเดียวกันอากาศปิดเกิน 30 นาที แต่หากไม่ใส่หน้ากากอนามัยทั้งคู่จะถือเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูงทันที ซึ่งกลุ่มนี้แนะใช้สูตร 7+3 คือ ให้กักตัวเองที่บ้าน 7 วัน ตรวจ ATK ในวันที่ 5-6 หากผลเป็นลบให้ออกจากบ้านได้แต่ช่วง 3 วันให้เน้นป้องกันตัวเองสูงสุด และเลี่ยงเข้าไปในที่สาธารณะ