กรมควบคุมโรค เตือนประชาชน! ช่วงหน้าฝนระวังป่วย 'โรคเมลิออยโดสิส' หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลน และรับประทานอาหารปรุงสุกสะอาด

23 สิงหาคม 2564, 07:24น.


     จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคเมลิออยโดสิส (melioidosis) ในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 64 - 18 ส.ค. 64 พบผู้ป่วยจำนวน 1,426 ราย เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุและวัยทำงาน ได้แก่ อายุ 55-64 ปี รองลงมาคือ 45-54 ปี และกลุ่มอายุมากกว่า 65 ปี โดยพบมากในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ตามลำดับ พบในกลุ่มอาชีพเกษตรกรมากที่สุด

     การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ คาดว่าในช่วงนี้จะมีโอกาสพบผู้ป่วยโรคเมลิออยโดสิส เพิ่มขึ้น เนื่องจากโรคนี้พบมากในช่วงฤดูฝน โดยผู้ป่วยมักได้รับเชื้อที่อยู่ในดินและน้ำ สามารถติดต่อได้ 3 ทาง คือ

     1. ผ่านทางบาดแผลบนผิวหนัง

     2. หายใจเอาฝุ่นจากดินหรือน้ำที่มีเชื้อเจือปนอยู่เข้าไป

     3. ดื่มหรือกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป และพบว่าระยะฟักตัวของเชื้อ คือ 1-21 วัน บางรายอาจนานเป็นปี



     ผู้ป่วยจะมีอาการหลากหลาย ทั้งการติดเชื้อเฉพาะที่และการติดเชื้อแพร่กระจายทั่วทุกอวัยวะ มักมาพบแพทย์ด้วยอาการไข้ บางรายมีอาการไม่ต่างจากโรคปอดบวมรุนแรง บางรายมีอาการคล้ายๆ กับวัณโรค อาการสำคัญคือ ติดเชื้อในกระแสเลือด มีทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ผู้ป่วยมีอาการเริ่มต้นด้วยอาการไข้ คล้ายโรคติดเชื้อหลายโรค เช่น สครัปไทฟัส มาเลเรีย ไทฟอยด์ ไข้เลือดออก ดังนั้น การตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงมีความสำคัญมาก

     กรมควบคุมโรค ขอแนะนำผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโรคเมลิออยโดสิส ได้แก่ ผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกร ที่ต้องทำงานสัมผัสกับดินและนํ้าที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือการสัมผัสสัตว์เลี้ยงที่มีเชื้อโรคนี้อยู่ในร่างกาย เช่น แมว สุนัข หมู ม้า วัว ควาย แกะ หรือแพะ เป็นต้น วิธีการป้องกันโรคเมลิออยโดสิส ได้แก่

     1. ผู้ที่มีบาดแผลให้หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือสัมผัสดินและน้ำโดยตรง หากจำเป็นขอให้สวมรองเท้าบูท ถุงมือยาง กางเกงขายาวหรือชุดลุยน้ำและรีบทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำสะอาดและสบู่

     2. หากมีบาดแผลที่ผิวหนัง ควรรีบทำความสะอาดด้วยยาฆ่าเชื้อ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสดินและน้ำจนกว่าแผลจะแห้งสนิท

     3. ทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำต้มสุก

     4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสลมฝุ่น และการอยู่ท่ามกลางสายฝน

     สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
X