ปกติแล้วหัวใจในร่างกายเต้นอยู่ตลอดเวลา เราแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ามันกำลังเต้นอยู่ ทว่าบางคนอาจมีอาการใจสั่นเกิดขึ้นได้ ซึ่งนี่เป็นสัญญาณของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เสี่ยงเป็นอันตรายได้โดยเฉพาะคนที่มีอาการโดยไม่รู้สาเหตุ ด้วยความห่วงใยจาก ผศ.พญ.ชญาสินธุ์ แม้นสงวน รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน อายุรแพทย์โรคหัวใจ อาจารย์ประจำคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล จะเป็นผู้อธิบายเกี่ยวกับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และการตรวจเช็กด้วยวิธีทั้ง 5 สร้างความเข้าใจ
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะคืออะไร?
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะคือ การที่หัวใจสูญเสียการเต้นแบบปกติไป อาจเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติก็ได้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ หัวใจเต้นเร็ว, หัวใจเต้นช้า, หัวใจเต้นไม่ตรงจังหวะ หรือหัวใจเต้นพลิ้ว และภาวะหัวใจหยุดเต้น ซึ่งโดยปกติแล้วหัวใจเราจะเต้นประมาณ 100,000 ครั้ง/วัน หรือ 60-100 ครั้ง/นาที หากเต้นเกิน 100 ครั้ง ถือว่าหัวใจเต้นเร็ว แต่ถ้าเต้นต่ำกว่า 60 ครั้ง ถือว่าหัวใจเต้นช้า
แต่ถ้าเราออกกำลังกายจะเป็นการตอบสนองของร่างกาย (Physiological responses) อยู่แล้วว่าหัวใจต้องเต้นเร็วขึ้น ตรงกันข้ามหากเราออกกำลังกายแล้วหัวใจยังเต้นช้าอยู่ หรือไม่ได้เต้นเร็วขึ้น กรณีนี้ถือว่าผิดปกติ ยกเว้นนักกีฬาที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ เช่น นักวิ่งมาราธอน หัวใจของคนกลุ่มนี้อาจเต้นปกติได้อยู่เมื่อออกกำลังกาย
วิธีสังเกตภาวะอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ
คนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะสามารถสังเกตตัวเองได้ง่าย ๆ
- หากหัวใจเต้นเร็ว จะมีอาการใจสั่น เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก
- แต่ถ้าหัวใจเต้นช้า จะเวียนหัว หน้ามืด เป็นลม หมดสติ
- ส่วนหัวใจเต้นไม่ตรงจังหวะ หรือหัวใจเต้นพลิ้ว จะมีอาการอ่อนเพลีย แขนขาอ่อนแรง
วิธีตรวจเช็กภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
1. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) : เป็นการตรวจแบบ Real-time ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที ค่าใช้จ่ายไม่แพง ถ้าตรวจที่โรงพยาบาลรัฐบาลประมาณ 300 บาท ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจเป็นประจำทุกปี
2. การตรวจและบันทึกเครื่องไฟฟ้าหัวใจ (Holter Monitoring) : วิธีตรวจจะคล้าย ๆ ECG จะแต่เครื่องมือติดไว้กับคนไข้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยให้คนไข้นำกลับบ้านไปด้วย แพทย์จะทราบว่าใน 24 ชั่วโมงนั้น คนไข้มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติอย่างไร
3. การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test) : ในรายที่ออกกำลังกายแล้วหัวใจยังเต้นช้าอยู่ถือว่าผิดปกติ
4. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพาชนิดฝัง (Implantable Loop Recorder) : จะเป็นการฝังเครื่องไว้ใต้ผิวหนัง หากเกิดความผิดปกติ แพทย์จะนำออกมาดูได้ กรณีนี้แนะนำให้ใช้ในคนไข้ที่ไม่ได้มีอาการทุกวัน
5. การตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography) : เป็นการตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจเพื่อหาโรคบางชนิด เช่น คนไข้ที่มีภาวะหัวใจผิดปกติบางราย อาจเกิดจากผนังหัวใจหนาผิดปกติ เพราะโรคบางชนิด
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง มีภาวะการนอนกรน หรือหยุดหายใจขณะหลับ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ จึงควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แต่สำหรับกลุ่มคนที่แต่ไม่เคยมีอาการใด ๆ มาก่อน คงเป็นเรื่องยากต่อการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นได้
ข้อมูล : Mahidol Channel