สถาบันวัคซีนแห่งชาติเผยการผลิตวัคซีนแอสตราฯ ในไทยมีความก้าวหน้ามาก

16 มีนาคม 2564, 12:56น.


          นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าการผลิตวัคซีนแอสตราเซเนกาในประเทศไทย มีความคืบหน้าไปตามแผนที่วางไว้ โดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นผู้ดำเนินการผลิต ภายใต้การควบคุมคุณภาพอย่างใกล้ชิด จากผู้เชี่ยวชาญของแอสตราเซเนกา เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของบริษัทแม่ รวมทั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข  ก็ติดตามความก้าวหน้าของการผลิตวัคซีนจากการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง



          ปัจจุบัน บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์  ทยอยผลิตวัคซีนตั้งแต่ระดับต้นน้ำแล้วจำนวน 5 รุ่นการผลิต และอยู่ระหว่างการส่งตรวจคุณภาพวัคซีนที่ผลิตได้ ณ ห้องปฏิบัติการอ้างอิงในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา  ขณะเดียวกัน หน่วยงานควบคุมกำกับในประเทศ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ สถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  ได้ติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการดำเนินการ และให้สามารถส่งมอบวัคซีนได้ในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งกำหนดการส่งมอบวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศไทย ให้แก่กรมควบคุมโรค  อยู่ในช่วงกลางปี 2564 โดยจะทยอยส่งมอบในอัตราเดือนละ 5,000,000-10,000,000 โดส จนครบ 61,000,000 โดส ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนการฉีดวัคซีนของกรมควบคุมโรค  



          สำหรับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ เป็นบริษัทผู้ผลิตยาและชีววัตถุ ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 25 ฐานการผลิตวัคซีนของแอสตราเซเนกา ที่กระจายอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเป็นโรงงานที่ได้รับการเสริมศักยภาพจากที่มีอยู่เดิม ไม่ใช่การสร้างโรงงานใหม่ตามที่หลายฝ่ายเข้าใจ โดยสยามไบโอไซเอนซ์ได้รับการประเมินจากแอสตราเซเนกา ตั้งแต่ปลายไตรมาสที่สองของปี 2563 ภายใต้การพิจารณาองค์ประกอบหลายด้าน ได้แก่ ด้านศักยภาพและความเชี่ยวชาญของบุคลากร ความพร้อมของเครื่องมืออุปกรณ์การผลิต การผ่านการรับรองมาตรฐานและคุณภาพการผลิตระดับสากล ฯลฯ และได้รับการคัดเลือกเป็นฐานการผลิตวัคซีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อเดือนกันยายน 2563 โดยเริ่มการถ่ายทอดเทคโนโลยีในราวต้นเดือนตุลาคม 2563 จนสามารถเริ่มการผลิตจริงในราวกลางเดือนธันวาคม 2563



          ส่วนกรณีชะลอการใช้วัคซีนแอสตราเซเนกาในหลายประเทศ เนื่องจากมีรายงานการเกิดภาวะการเกิดลิ่มเลือด ภายหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบที่ประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์ องค์การอนามัยโลก และหน่วยงานกำกับคุณภาพยาของสหภาพยุโรป (EU) ได้ยืนยันว่า วัคซีนของแอสตราเซเนกาเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับวัคซีนจากบริษัทอื่นที่มีการใช้กันอย่างกว้างขวาง และวัคซีนของแอสตราเซเนกาได้ฉีดให้กับประชาชนในสหราชอาณาจักรแล้ว มากกว่า 16,000,000 โดส จากข้อมูลไม่พบความกังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีน จึงมีข้อแนะนำให้แต่ละประเทศดำเนินการฉีดวัคซีนต่อไปได้  โดยประเทศไทยได้พิจารณาเริ่มการฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกาตามข้อแนะนำของหน่วยงานดังกล่าว พร้อมกับการวางมาตรการติดตามด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชน



          ส่วนการส่งมอบวัคซีนล่าช้ากว่าแผนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่วัคซีนมีจำนวนจำกัด  ขณะที่ความต้องการวัคซีนมีสูงมาก และประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศได้จองซื้อวัคซีนล่วงหน้าในจำนวนที่มากกว่าประชากรในประเทศหลายเท่าตัว  อีกทั้งการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ในช่วงที่มีภาวะฉุกเฉิน มีการแปรเปลี่ยนของสถานการณ์อย่างมาก ทั้งในส่วนที่จะมีวัคซีนใหม่ ๆ ทยอยประกาศผลออกมา  ประเทศไทยจะสามารถพิจารณาจัดหาวัคซีนเพิ่มได้อย่างเหมาะสม และในส่วนที่มีการรายงานเชื้อกลายพันธุ์ที่อาจส่งผลต่อการใช้วัคซีนที่ผลิตรุ่นแรก การที่ประเทศไทยในเวลานี้สามารถวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนได้ตั้งแต่ต้นน้ำ จะเป็นหลักประกันอันดีว่า ไทยจะสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ในเวลาที่เหมาะสมและสามารถพึ่งพาตนเองในการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ทั้งในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 และโรคติดต่ออุบัติใหม่ในอนาคตได้



 

ข่าวทั้งหมด

X