หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มแรก ในช่วงระหว่างรอสังเกตอาการ 30 นาที นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และศ.นพ. ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มาพูดคุยเพื่อตอบข้อสงสัย ทั้งเรื่องของประสิทธิภาพของวัคซีน และการบริหารจัดการวัคซีนในประเทศ
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า นับตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.64 ที่มีการฉีดวัคซีนซิโนแวค ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนด้วย ก่อนจะกระจายไปยังบุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรที่เป็นด่านหน้าในการรับมือกับโรค และประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง จนถึงวันนี้ ได้แจกจ่ายวัคซีนไปแล้ว 116,520 โดส ใน 13 จังหวัด มีผู้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 50,388 คน ซึ่งหลังจากนี้รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าในการกระจายวัคซีนไปให้ครอบคลุมทั่วประเทศให้มากที่สุด โดยขณะนี้ รัฐบาลมีวัคซีนของ 2 บริษัท คือ ซิโนแวค และแอสตราเซเนกา แต่รัฐบาลก็เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน สามารถนำเข้าวัคซีนป้องกันโควิดของบริษัทอื่นได้ เพียงแต่ต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ซึ่งสามารถติดต่อขอรับการตรวจสอบจาก อย.ได้ตามขั้นตอนปกติ และรัฐบาลไม่ได้ปิดกั้นใดๆ เพราะเข้าใจดีว่า บางกลุ่มอยากได้รับวัคซีนเร็วๆ
นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า สิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้ คือ งดการเคลื่อนย้ายหรือเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง แต่ก็เข้าใจดีว่า บางทีก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะบางคนยังต้องไปทำมาค้าขาย ทำงาน หรือประกอบอาชีพ ดังนั้นทุกคนต้องระมัดระวังตัวเอง คือ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนอื่น
นายกรัฐมนตรี ยังขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด่านหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคทุกคน ที่เสียสละตัวเอง ทำงานอย่างหนัก เพื่อความปลอดภัยของประชาชน พร้อมทั้งขอบคุณประชาชนทุกคนที่ให้ความร่วมมือในการป้องกันโรค จนประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่สามารถควบคุมจัดการโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี หลังจากนี้ รัฐบาลจะพิจารณาการผ่อนคลายผ่อนปรนต่างๆ โดยในวันศุกร์ที่ 19 มี.ค.นี้ ศบค.ชุดใหญ่ จะประชุมหารือการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ และการจัดมาตรการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยรัฐบาลจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน แต่ก็ต้องย้ำว่า ทุกคนต้องร่วมมือกัน
ด้าน ศ.นพ.ยง เปิดเผยว่า ทั่วโลกขณะนี้มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วมากกว่า 10 บริษัท ถูกใช้ไปแล้วมากกว่า 350 ล้านโดส ไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น โดยขอให้ประชาชนทุกคนมั่นใจว่า วัคซีนของ 2 บริษัทที่กระทรวงสาธารณสุขจัดหามามีความปลอดภัย ผ่านการศึกษาทดลองทั้งในสัตว์และมนุษย์ ผ่านขั้นตอนการพัฒนาวัคซีนทั้ง 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 ตรวจสอบเรื่องความปลอดภัย
ระยะที่ 2 ตรวจสอบเรื่องการกระตุ้นภูมิต้านทาน
ระยะที่ 3 การใช้ประชากรศึกษาเป็นจำนวนหมื่นคน เพื่อดูเรื่องประสิทธิภาพในการป้องกันโรค
ศ.นพ. ยง ระบุว่า วัคซีนซิโนแวคและแอสตราเซเนกา ได้ผ่านขั้นตอนการศึกษาทดลองมาทั้ง 3 ระยะแล้ว รวมทั้งยืนยันได้ว่ามีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย ซึ่งข้อมูลการศึกษาวัคซีนป้องกันโควิดที่มีอยู่ทุกยี่ห้อในขณะนี้ แม้จะยังไม่มีผลการศึกษาว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถลดความรุนแรงของโรค และลดอัตราการตายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจากการระบาดของโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกนั้น เราคงไม่สามารถทำให้โรคนี้หมดไปได้ แต่ต้องหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกับโรคให้ได้ หนึ่งในวิธีนั้นก็คือการฉีดวัคซีน จึงเชิญชวนประชาชนคนไทยทุกคน ร่วมกันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ ฉีดวัคซีนช่วยชาติ เพื่อชาติผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้
ขณะที่นายอนุทิน ระบุว่า การที่กระทรวงสาธารณสุข ต้องชะลอและเลื่อนการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มแรก จากเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 12 มี.ค. มาเป็นวันนี้ (16 มี.ค.) ก็เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าวัคซีนปลอดภัยกับประชาชนจริงๆ พร้อมกับขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ยินดีเสนอตัวฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นคนแรก เพื่อสร้างความมั่นใจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า ประเทศไทยจะไม่ขาดแคลนวัคซีนที่จะให้กับประชาชน หลังจากนี้กระทรวงสาธารณสุข จะกระจายวัคซีนไปยังประชาชนทุกคนให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศไทยโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำนวน 61 ล้านโดส จะเริ่มกระจายวัคซีนได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย.นี้ โดยจะเฉลี่ยฉีดได้เดือนละ 10 ล้านโดส และภายในสิ้นปี 2564 คนไทยทุกคนจะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างครอบคลุม พร้อมขอให้มั่นใจในทีมสาธารณสุขของไทย ที่ทำงานอย่างทุ่มเท เต็มที่ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน นายอนุทิน ยังขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ที่สนับสนุนภารกิจของกระทรวงสาธารณสุขทุกอย่างที่ร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลบุคลากรทางการแพทย์ การดูแลประชาชน การพัฒนาประสิทธิภาพของโรงพยาบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้การสนับสนุนการทำงานของทีมสาธารณสุขอย่างเต็มที่