พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ระบุว่า ได้ตัดสินใจฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา ในวันศุกร์ที่ 12 มี.ค.นี้ ตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงจากการต้องพบปะประชาชนจำนวนมาก โดยขณะนี้วัคซีนแอสตราเซเนกา อยู่ระหว่างให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจสอบคุณภาพ คาดว่าจะตรวจสอบเสร็จทันกำหนดการฉีดวัคซีนของนายกรัฐมนตรี
ส่วนกรณีโรงพยาบาลเอกชนจะนำเข้าวัคซีนมาเอง ได้สั่งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. เชิญผู้ประกอบการมาพบ เพื่อหารือว่ามีแผนในการจัดหาวัคซีนอย่างไร หากผู้ประกอบการรายใดสามารถจัดหาวัคซีนมาได้ รัฐบาลก็ไม่กีดกัน และจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ แต่สิ่งสำคัญ คือ ขณะนี้ บริษัทผู้ผลิตวัคซีนส่วนใหญ่ตั้งเป้าจะขายวัคซีนให้กับรัฐบาลแต่ละประเทศ ดังนั้นบางทีเอกชนจองเข้าไปแล้วก็ยังไม่ได้รับการจัดสรร แต่ถ้าในอนาคตได้วัคซีนมาแล้ว ก็ต้องมีมาตรการควบคุมเรื่องการฉีด การติดตามอาการหลังฉีด ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่เอกชนจะนำวัคซีนเข้ามา เพราะทำให้จำนวนวัคซีนมีมากขึ้น แม้ว่าอาจจะมีค่าใช้จ่ายสูง ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง โดยขณะนี้มีบริษัทผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นๆ ที่มาขอขึ้นทะเบียน และยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็มองไปถึงการเปิดประเทศ โดยการใช้วัคซีนพาสปอร์ต แต่ก็ต้องรอองค์การอนามัยโลก หรือ WHO กำหนดมาตรฐานที่ใช้ด้วยกันทั้งโลกออกมาก่อน ส่วนไทยก็เตรียมมาตรการรองรับไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่น เรื่องการกักตัว
ส่วนเทศกาลสงกรานต์ซึ่งมีวันหยุดยาว นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า สั่งให้ ศบค.ชุดเล็กไปร่วมหารือกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์หน้า และขณะนี้ถือว่าสถานการณ์ต่างๆ สามารถควบคุมได้ ยอดผู้ติดเชื้อหรือมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดก็ดีขึ้น จึงเหลือเพียงการพิจารณาว่าจัดงานแบบใดที่จะไม่กระทบกับการควบคุมโรค เช่น อาจจะสนุกน้อยลงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ปลอดภัยมากขึ้น รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไปหามาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวรับช่วงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ด้วย