การจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติม ในที่ประชุมคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้านโควิด-19 นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ที่ประชุมหารือเรื่องการหาวัคซีนเพิ่มเข้ามาให้เร็วที่สุด ภายในปีนี้อีกประมาณ 15-20 ล้านโดส ตอนนี้พื้นที่เสี่ยงและจังหวัดท่องเที่ยวมีความต้องการสูง ในที่ประชุมมีการเสนอให้เอกชนเข้ามาร่วมมือในการจัดหาวัคซีน ซึ่งต้องดูรายละเอียดของทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่าจะเป็นแบบใด หากเอาเข้ามาได้จริงๆ ก็ต้องเข้าระบบเรื่องการตรวจสอบ ติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีนของ สธ.ที่ทำเอาไว้แล้ว เรื่องนี้ก็ต้องเสนอนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สธ. พิจารณา
ปัจจุบันไทยมีวัคซีนอยู่ 63 ล้านโดส หากคำนวณจากประชากรไทยกว่า 65 ล้านคน หักกลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี จะเหลือประชาชนที่เข้าข่ายได้รับรับวัคซีนประมาณ 50 ล้านคน บวกคนต่างด้าวอีกประมาณ 5 ล้านคน คิดที่ ร้อยละ 80 ของประชากร 55 ล้านคน ประมาณการณ์ว่ามีคนควรได้รับวัคซีนประมาณ 40 ล้าน คนละ 2 โดส จึงต้องใช้วัคซีน 80 ล้านโดส ดังนั้นเราควรหาวัคซีนเพิ่มอีก 15-20 ล้าน โดยไม่ได้จำกัดว่าเป็นวัคซีนชนิดใด ไม่ได้คุยกันเรื่องราคาว่าต้องมีกำหนดเพดานที่เท่าไร
ด้าน นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการ อย. กล่าวว่า เราไม่ได้ปิดกั้นภาคเอกชน หากใครจัดหาวัคซีนเข้ามาได้ แต่ขอให้มาขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าให้ถูกต้องกับ อย. ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใคร ไม่มีรพ.เอกชนใดมายื่นขึ้นทะเบียน อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 8 มี.ค.นี้ หลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อฯ อย.จะมีการประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับทางเอกชน สำหรับการขึ้นทะเบียนวัคซีนในไทยตอนนี้นอกจากซิโนแวค และแอสตราเซนเนกาแล้ว ก็มีจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และบริษัท บารัต ไบโอเทค ของอินเดียมายื่นเอกสารเพื่อขอขึ้นทะเบียน อยู่ระหว่างการพิจารณา
นอกจากนั้น ที่ประชุมยังได้หารือ ประเด็นการออกหนังสือรับรองการฉีดวัคซีน หลังฉีดครบ 2 เข็ม จะออกหนังสือรับรองที่เป็นรูปเล่ม และแบบอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนรูปแบบที่เป็นสากลยอมรับกันได้ทั่วโลกยังต้องรอองค์การอนามัยโลกพิจารณาออกหลักเกณฑ์ โดยที่ประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จะประชุมให้ได้ข้อสรุป ก่อนเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติในวันที่ 8 มี.ค.นี้