ประเด็นกล่าวหาประเทศไทยเป็นต้นกำเนิดของไวรัส แม้ล่าสุดองค์การอนามัยโลก จะออกมาแก้ไข และชี้ชัดว่า ขณะนี้ไม่มีหลักฐานใดที่ชี้ว่าต้นกำเนิดของไวรัสอยู่ในประเทศไทย และบทความที่มีข้อความบิดเบือนดังกล่าวได้รับการแก้ไขแล้ว
ล่าสุด ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ คณะแพทยศาสตร์ สภากาชาดไทย ได้ชี้แจงอีกครั้ง โดยระบุว่า
20 ปีที่ผ่านมาเราได้ตอกย้ำการที่พบว่า สัตว์ป่าสามารถครองเชื้อต่างๆ ได้ แม้ว่าเชื้อเหล่านี้จะไม่สามารถเข้าตรงสู่มนุษย์ได้ก็ตาม แต่ไวรัสที่เจอนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่สามารถวิวัฒนาการต่อกลายเป็นตัวที่เข้ามนุษย์และเกิดโรคได้
ดังที่พบไวรัสโคโรนา ซึ่งเป็นแม่พิมพ์บรรพบุรุษ ของโควิด-19 ในค้างคาวไทย แต่ไวรัสนี้เข้ามนุษย์ไม่ได้ และไวรัสแม่พิมพ์นี้ยังพบได้ในประเทศจีน เขมร เวียดนาม ญี่ปุ่น โดยที่ค้าวคาว ชนิดนี้มีถิ่นหากินกว้างขวางกินอาณาบริเวณหลายทวีป และยืนยันว่า โควิด-19 ไม่ได้แพร่จากประเทศไทย
1.หลักฐานเหล่านี้ตอกย้ำให้”หยุดการทำลายธรรมชาติ” ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้สัตว์ป่าซึ่งครองไวรัสเหล่านี้อยู่ โดยตัวเองไม่มีอาการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและส่งผลให้ไวรัส ผลักดันตัวเองเพื่อให้อยู่รอด
2.และแน่นอน “หยุดการค้าสัตว์ป่าและนำมาฆ่ากินเป็นอาหาร” ซึ่งเป็นหนทางให้ไวรัสมีโอกาสเข้ามนุษย์และควบรวมกับไวรัสที่ไม่ก่อโรครุนแรง กลายเป็นไวรัสที่อันตรายขึ้น
3.นอกจากมาตรการเด็ดขาด สองข้อแรกแล้ว สิ่งที่ต้องปฏิบัติอย่างรีบด่วน คือหาสาเหตุของการติดเชื้อ “ในมนุษย์” ให้ได้มากที่สุดโดยเฉพาะเชื่อที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ดังนั้นกระบวนการหาเชื้อในคนป่วย จะต้องไม่หยุดอยู่เพียงใช้เครื่องมือตรวจที่หาเชื้อที่รู้จักอยู่แล้วซึ่งในปัจจุบันสามารถวินิจฉัยได้ประมาณ 50% เท่านั้น
4.การเฝ้าระวังและค้นหาเชื่อที่ก่อโรคในคนไม่ว่าจะมีอาการน้อย (ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ไวรัสเข้ามนุษย์และจะวิวัฒนาการไปเป็นรุนแรง) หรืออาการหนักก็ตาม ถือเป็นการตอบโต้ในเชิงรุกครั้งแรกของมนุษย์ในสงครามครั้งนี้