นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงแผนการจัดหาวัคซีนของประเทศไทย ว่าขณะนี้ยังเดินหน้าจัดหาวัคซีนมาเพิ่มเติม โดยได้คุยกับผู้ผลิตวัคซีนหลายเจ้า โดยมีเป้าหมายจะเลือกผู้ผลิตวัคซีนที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทย และสามารถจัดส่งได้ตามความต้องการของไทย ข่าวดี คือ ขณะนี้ ประเทศไทยได้หารือกับผู้ผลิตรายนั้นแล้ว ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ว่า ประเทศไทยจะได้วัคซีนจากผู้ผลิตรายดังกล่าวภายในไตรมาสแรก เพื่อมาเสริมวัคซีนจากจีน
นายอนุทิน ย้ำว่า ทีมประเทศไทยไม่เคยนิ่งเฉยเรื่องการดูแลประชาชน และทุกการตัดสินใจจะอยู่บนหลักพื้นฐานทางวิชาการ โดยนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะมาดูแลตั้งแต่เรื่องการจัดหาวัคซีนที่เหมาะสม ไปจนถึงการให้บริการ ซึ่งอธิบดีกรมควบคุมโรค เคยแจ้งว่า วัคซีนที่นำมาฉีดนั้น มีผลข้างเคียงเล็กน้อย แต่มีความปลอดภัย เพราะใช้วิธีผลิตแบบดั้งเดิม แต่หลังจากปักเข็มฉีดวัคซีนไปแล้ว จะต้องรอดูอาการก่อน 30 นาที เพราะหากมีอาการข้างเคียงก็มักจะเกิดในช่วงเวลานี้ แต่ทีมแพทย์รับรองว่ารับมือได้แน่นอน
ส่วนกรณีวัคซีนที่ไทยนำเข้ามา เป็นวัคซีนที่หลายประเทศแนะนำไม่ให้ฉีดในผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี นายอนุทิน ระบุว่า ขอให้เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการวัคซีนที่ดูแลรับผิดชอบ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้วางแผนไว้ครอบคลุม พร้อมย้ำว่า การได้รับวัคซีนไม่ได้แปลว่าป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่สามารถป้องกันอาการหนักได้ เพราะไม่มีวัคซีนยี่ห้อไหนป้องกันการติดเชื้อได้แบบ 100% ดังนั้นแม้จะฉีดวัคซีนไปแล้ว ก็ต้องสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ
นายอนุทินย้ำว่า ประเทศไทยไม่เคยปิดกั้นการขึ้นทะเบียนวัคซีน การขึ้นทะเบียนวัคซีนในไทยได้นั้น หมายความว่าวัคซีนนั้นต้องผ่านการขึ้นทะเบียนจากประเทศต้นทาง แล้วทางการไทยจะรับมาพิจารณาต่อ รวมทั้งหลักบริการวัคซีนให้คนไทย จะต้องมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะต้องการให้คนไทยได้รับวัคซีนที่ครอบคลุมมากที่สุด
ส่วนที่มีบางฝ่ายโจมตีว่ารัฐบาลล็อกสเป็กให้โรงงานหนึ่งได้สิทธิ์ผลิตวัคซีน นายอนุทิน ย้ำว่า รัฐบาลเป็นฝ่ายหารือกับบริษัทผู้ผลิตต่างประเทศ ส่วนผู้ผลิตจะเลือกโรงงานไหนผลิตนั้น รัฐบาลไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจ หน้าที่ของรัฐบาลคือรอรับวัคซีนตามที่ผู้ผลิตสัญญาไว้เท่านั้น
แฟ้มภาพ