พญ.คริสตินา อดัมส์ วัลดอร์ฟ สูตินรีแพทย์ หัวหน้าทีมวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตัน สหรัฐฯ เปิดเผยผลการศึกษาในวารสารสูตินรีเวชวิทยา(American Journal of Obstetrics & Gynecology)ของสหรัฐฯ ทีมวิจัย พบว่า อัตราการติดเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มสตรีมีครรภ์ในรัฐวอชิงตันสูงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับสตรีกลุ่มอื่นๆที่ไม่ตั้งครรภ์ในรัฐวอชิงตัน และพบว่ากลุ่มสตรีมีครรภ์ชาวอเมริกันที่เป็นคนผิวดำ มีอัตราการติดเชื้อโรคโควิด-19 สูงกว่าสตรีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ 2-4 เท่า
ทีมวิจัย ระบุว่า ในระยะแรกๆที่โรคโควิด-19 ระบาดในรัฐวอชิงตันเมื่อต้นปีที่แล้ว สตรีมีครรภ์หลายคนติดเชื้อโรคโควิด-19 ทีมวิจัยจึงได้รวบรวมข้อมูลสตรีมีครรภ์ที่ติดโรคโควิด-19 จำนวน 240 คนจากโรงพยาบาล และคลินิกรวม 35 แห่ง ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว จนพบว่า สตรีมีครรภ์ในรัฐวอชิงตันติดโรคโควิด-19 เฉลี่ย 13.9 คนต่อสตรีที่เข้ารับการทำคลอดทุกๆ 1,000 คน ขณะที่สตรีวัยเจริญพันธุ์อายุ 20-39 ปีในรัฐวอชิงตัน มีอัตราการติดเชื้อโรคโควิด-19 เฉลี่ย 7.3 คนต่อสตรีทุกๆ 1,000 คน
ไฟเซอร์ อิงค์ และไบโอเอ็นเท็ค เตรียมทดสอบวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กับสตรีตั้งครรภ์ โดยจะทดสอบกับอาสาสมัคร 4,000 คนในหลายประเทศเพื่อดูความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 กับสตรีตั้งครรภ์ที่มีสุขภาพแข็งแรงดี
นายแพทย์วิลเลียม กรูเบอร์ รองประธานอาวุโสด้านการวิจัยทางคลินิกและพัฒนาวัคซีนของไฟเซอร์ กล่าวว่า การทดสอบดังกล่าวจะทราบผลภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ การทดสอบนี้จะมีการประเมินด้วยว่า สตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับวัคซีนแล้วจะถ่ายทอดภูมิคุ้มกันในการป้องกันโรคต่อไปให้ทารกหรือไม่
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจำนวนมากที่แนะนำให้สตรีตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดโควิด-19 เข้ารับการฉีดวัคซีน แม้ว่าจะยังไม่มีข้อพิสูจน์ในเรื่องของความปลอดภัยก็ตาม
Cr: CNN, Forbes