เฟซบุ๊กทางการของคณะเอกอัครราชทูตจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ แคนาดาและกลุ่มสหภาพยุโรป(อียู) เตือนคณะรัฐประหารของเมียนมาว่าคนทั่วโลกจับตามองสถานการณ์ในเมียนมาอย่างใกล้ชิด หลังระบบโทรคมนาคมของเมียนมาถูกรัฐบาลสั่งตัด ทำให้ระบบอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติตั้งแต่เมื่อคืนวานมาจนถึงเช้าวันนี้ พร้อมทั้งเตือนคณะรัฐประหารเมียนมาให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ประท้วง ซึ่งมีทั้งประชาชนทั่วไปและเจ้าหน้าที่พลเรือนที่ออกมาประท้วงคัดค้านการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และขอให้ปล่อยตัว นางอองซาน ซูจี หัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของเมียนมา(NLD) พร้อมแกนนำพรรค ที่ถูกจับกุม
นอกจากนี้ คณะเอกอัครราชทูตจากสหรัฐฯและชาติตะวันตก ประณามการที่คณะรัฐประหารของเมียนมาจับกุมผู้นำรัฐบาลพลเรือนและบรรดานักเคลื่อนไหว พร้อมทั้งตำหนิการที่คณะรัฐประหารสั่งตัดระบบติดต่อสื่อสารและมาตรการอื่นๆที่กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานและการใช้สิทธิทางกฎหมายขั้นพื้นฐานของชาวเมียนมา โดยเฉพาะสถานทูตสหรัฐฯประจำเมียนมาเตือนชาวอเมริกันที่อยู่ในเมียนมาว่าให้อยู่แต่ในบ้านพักหรือโรงแรม ขอให้เลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆในเมียนมาในระยะนี้ เพื่อความปลอดภัย หลังพบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติคือ กองทัพเมียนมา เริ่มเคลื่อนรถถังหลายคัน พร้อมทหารจากค่ายทหารต่างๆในหลายเมือง รวมถึงกรุงเนปิดอว์และนครย่างกุ้ง ชี้ว่า คณะรัฐประหารพร้อมจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการปราบปรามการประท้วงในเมียนมา
ด้าน เน็ตบล็อกส์ (NetBlocks) เอ็นจีโอของอังกฤษที่รณรงค์ให้ประชาชนทั่วโลกสามารถใช้อินเตอร์เน็ตอย่างเสรี ระบุว่า อัตราการเชื่อมโยงกับสัญญาณอินเตอร์เน็ตและระบบโทรศัพท์มือถือของประชาชนในเมียนมา ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 14 ทั่วประเทศ นับตั้งแต่เวลา 01.00 น.ของวันนี้ สอดคล้องกับชาวบ้านหลายคน ซึ่งระบุว่า ระบบสัญญาณโทรศัพท์มือถือของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกแห่งของเมียนมาล่ม ไม่สามารถใช้งานตั้งแต่เมื่อคืนวาน ผู้สังเกตการณ์หลายคนหวั่นเกรงว่ามาตรการเช่นนี้อาจจะทำให้คนทั่วโลกไม่สามารถรับทราบข่าวสารการประท้วงในเมียนมาอย่างชัดเจน
ด้านสำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ(ยูเอ็น) อ้างอิงข้อมูลจากสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองของเมียนมา(AAPP) ระบุว่า คณะรัฐประหารของเมียนมา ปราบปรามผู้ประท้วง มีคนถูกจับกุมหลายร้อยคนนับตั้งแต่กองทัพทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ส่วนใหญ่ถูกจับโดยไม่มีการแจ้งข้อหาให้ถูกต้องตามกฎหมาย
Cr: CNN, The Guardian Uk