กรมควบคุมโรค สำรวจพบว่า คนไม่ติดเชื้อก็อยากฉีดวัคซีน 70%
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ปฏิบัติหน้าที่รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรมควบคุมโรค ได้สำรวจทัศนคติความเห็นของประชาชน เมื่อวันที่ 26 ม.ค. - 8 ก.พ. 64 จำนวน 2,879 ตัวอย่าง พบว่า เมื่อถามถึงกลุ่มที่ควรได้รับวัคซีน ตอบว่า -บุคลากรทางการแพทย์ ร้อยละ 70
-ผู้สูงอายุ ร้อยละ 40
-ทุกคน ร้อยละ 35
-ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ร้อยละ 33
-เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ร้อยละ 22
แต่ทางวิชาการ กลุ่มเด็กและหญิงตั้งครรภ์ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย เพราะวัคซีนเป็นการใช้ภาวะฉุกเฉิน ไม่ได้มีการทดลองใน 2 กลุ่มนี้
นอกจากนี้หากไม่มีการติดเชื้อ การป่วยและเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ยังต้องการฉีดวัคซีนมากน้อยแค่ไหน พบว่า ยังต้องการมาก ปานกลางและน้อย รวมประมาณ ร้อยละ 70 ไม่ต้องการฉีด ร้อยละ 18 และไม่แน่ใจ ร้อยละ 12
รัฐบาล เตรียมเงินกู้ 500,000 ล้าน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กล่าวถึง ทิศทางเศรษฐกิจไทยว่า ขณะนี้วงเงินในพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) เงินกู้ 1,000,000 ล้านบาท ใช้ไปแล้วประมาณ 700,000 ล้านบาท เหลืออยู่ 288,000 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะมีเม็ดเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ดังกล่าว ออกมาสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 500,000 ล้านบาท เป็นเม็ดเงินจากภาครัฐที่เข้ามาใช้พยุงและสนับสนุนเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้น กระทรวงการคลัง ประเมินว่าปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ประมาณร้อยละ 2.8 แต่การฟื้นตัวยังกลับไปไม่เท่าระดับเดียวกับเมื่อปี 62 ก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจาก การส่งออก การท่องเที่ยว ยังทรุดตัวลงมากกว่าปีก่อนหน้า
น.ส.กุลยา กล่าวว่า แม้จะเริ่มมีการฉีดวัคซีนแล้วแต่ยังไม่ได้ครอบคลุมในทุกประเทศ คาดว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้เร็วที่สุดช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยประมาณ 5,000,000 คน
คลัง เสนอให้รัฐบาล ปรับโครงสร้างศก.พึ่งพาบริโภคในประเทศ
น.ส.กุลยา กล่าวว่า จากที่คาดว่าการระบาดของโควิด-19 จะยังอยู่อีกนานจึงเกิดเป็นความท้าทายสำคัญในมุมมองของภาครัฐ คือเรื่องของวัคซีน ที่เมื่อไรจะมีการฉีดอย่างแพร่หลายและครบถ้วน รวมทั้งนักท่องเที่ยวจะกลับมาได้เมื่อไร เพราะปัญหาหลักของไทยคือการพึ่งพาอุปสงค์จากภายนอกประเทศอย่างมาก เช่น การส่งออกและการท่องเที่ยว รัฐบาลจึงต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีการพึ่งพาภายในประเทศมากขึ้น
ส่วนแก้ไขระยะยาว ต้องมีการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น จากกรณีการระบาดของโควิด-19 ที่ จ.สมุทรสาคร ไปสู่ 28 จังหวัด ทำให้เห็นว่าความเจริญกระจุกอยู่ในเมืองรวมทั้งความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะการเข้าถึงเทคโนโลยี ช่วงโควิด-19 ทำให้เห็นว่ามีบางส่วนไม่สามารถเข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีได้ ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบและพัฒนาโครงสร้างพื้นที่เหล่านี้ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่ปัจจุบันเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว รัฐบาลควรดูแลเรื่องการออมและเม็ดเงินที่จะใช้ดูแลหลังเกษียณอายุ ต่อเนื่องหลังจากที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 หมดลง นี่คือความท้าทายทั้งหมดที่รัฐบาลต้องเจอ
กรุงไทย ทำความเข้าใจร้านค้าร่วมโครงการเราชนะ ที่รับชำระเงินเกินสิทธิ
ธนาคารกรุงไทย ทำความเข้าใจร้านค้าโครงการ “เราชนะ” ที่รับชำระเกินสิทธิ กำชับให้ดำเนินการตามเงื่อนไขของโครงการ หลังตรวจสอบพบร้านค้าบางกลุ่มรับชำระเกินสิทธิ แต่ไม่พบพฤติกรรมผิดปกติ ชี้ร้านค้าส่วนใหญ่เข้าใจและให้ความร่วมมือทำตามเงื่อนไขโครงการ
ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้ประสานร้านค้าในโครงการ “เราชนะ” ที่รับชำระเงินเกินสิทธิ จากกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 5 ก.พ. เพื่อทำความเข้าใจและกำชับให้ดำเนินการตามเงื่อนของโครงการเราชนะ ทั้งเงื่อนไขของฝั่งร้านค้าและผู้ใช้สิทธิ โดยจากการตรวจสอบ ธนาคาร พบว่า นอกจากร้านค้าที่มีพฤติกรรมผิดปกติ จำนวน 152 ร้านค้าแล้ว ยังพบว่ามีร้านค้าบางกลุ่มที่รับชำระเงินเกินสิทธิ แต่ไม่พบพฤติกรรมที่ผิดปกติ โดยธนาคารได้ดำเนินการติดต่อร้านค้าดังกล่าว เพื่ออธิบายทำความเข้าใจไปแล้วเกือบทั้งหมด และร้านค้าพร้อมให้ความร่วมมือ เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ
สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีการใช้จ่ายถูกต้องตรงตามสิทธิที่ได้รับรายสัปดาห์ จะได้รับวงเงินรายสัปดาห์ทุกวันศุกร์ตามปกติ ส่วนผู้ถือบัตรฯ ที่มีการใช้จ่ายเกินสิทธิ จะมีการตัดวงเงินชำระให้กับร้านค้าที่ได้ทำธุรกรรมเกินสิทธิไป โดยสามารถไปติดต่อร้านค้าที่ไปใช้จ่าย เมื่อวันที่ 5 ก.พ.64 หรือหากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อไปที่ 02-109-2345 กด 3 สำหรับร้านค้า ติดต่อได้ที่ 02-111-9999 กด 9 ตลอด 24 ชั่วโมง
ผบ.ตร.ขยายผลเครือข่าย หลงจู๊ สมชาย-ได้ประกันตัว แต่ต้องติดกำไลอีเอ็ม
ระยะเวลากว่า 50 วันที่ตำรวจขยายผลจับเจ้าของบ่อน ซึ่งเป็นแหล่งที่ทำให้ยอดติดเชื้อโควิด-19 ใน จ.ระยอง เพิ่มขึ้นหลายร้อยคนเพียงไม่กี่วัน จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ จับกุม นายสมชาย จุติกิติ์เดชา หรือ หลงจู๊สมชาย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลระยอง และ ผู้ต้องหาร่วมที่เป็นเครือข่ายอีก 4 คน ได้แก่ นส.ฤดี สงวนนามสกุล ,นางสาวอลิสา สงวนนามสกุล ,นายน้อย สงวนนามสกุล ,นายดำรงค์ สงวนนามสกุล ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดสระเเก้ว
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ก่อนจะขยายผลจับคดีนี้มีข่าวเล่นการพนันและมีการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จ.ระยอง เจ้าหน้าที่พยายามเชื่อมโยงไม่ว่าจะเป็นคดีเก่าหรือจากการตรวจสอบที่ประชาชนไปติดเชื้อมาเผยแพร่ต่างๆ จนมาถึงวันที่ได้ขออนุมัติจับกุมก็มีการบ้านให้ทำอีกเยอะ ประกอบกับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง คนใกล้ชิด กับกระแสข่าวที่ว่าเชื่อมโยงกับตู้ม้า ตู้สล็อต ซึ่งก็พยายามหาความเชื่อมโยงแบบนั้น ส่วนในความผิด ในเรื่องของการพนัน พนักงานสอบสวนในพื้นที่ก็จะทำไป ส่วนในความผิดฟอกเงิน กองปราบปรามก็จะดำเนินการต่อไป
ผบ.ตร.เชื่อว่า ไม่ได้มีแค่นี้ และคงต้องหาพยานหลักฐานต่อสู้กันต่อไป พร้อมขยายผลทั่วประเทศ ถึงตัวใครก็ดำเนินคดีทั้งหมด หลังจับกุม หลงจู๊สมชาย ไม่ได้พูดอะไร ก็รับทราบข้อกล่าวหา ในส่วนตำรวจ ยอมรับว่าย่อหย่อน อาจจะมีบางคนรู้เห็นเป็นใจ แต่จะบอกว่าตำรวจเป็นหมดทุกคนก็ไม่ใช่ ใครที่ทำก็ต้องเลิก ถ้าไม่เลิกก็ถูกลงโทษ ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ วันนี้ตำรวจภูธรภาค 2 มาทำ กองปราบมาช่วย อย่าให้ใครมาตราหน้าว่าตำรวจเป็นเหมือนกันหมด ฝากถึงประชาชนถ้ามีข้อมูลอะไร แจ้งเบาะแสได้ตลอด
สำหรับ นายสมชาย ศาลแขวงจังหวัดระยองอนุญาต ให้ประกันตัว แต่ต้องติดกำไลอีเอ็ม ห้ามออกนอกประเทศ หลังทนายความยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 200,000 บาท ประกันตัวต่อศาล ในคดีจัดให้มีการเล่นการพนัน พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตความผิดนี้ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 500 บาทถึง 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
CR:สำนักงานตำรวจแห่งชาติ