ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้เวลา 08.30 น.วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564

10 กุมภาพันธ์ 2564, 08:58น.


‘อนุทิน’ ย้ำอปท.ซื้อวัคซีนต้านโควิด-19 ไม่ได้



          หลังจากที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีคำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะว่าเอกชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ไม่สามารถจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 กับผู้ผลิตได้โดยตรง เนื่องจาก วัคซีนมีปริมาณจำกัด และเพื่อให้การบริหารจัดการวัคซีนเป็นประโยชน์กับคนที่มีความเสี่ยงสูงและปลอดภัยอย่างสูงสุด จึงขอให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เตรียมจัดซื้อวัคซีนได้ทราบว่าระยะแรกกำหนดให้ภาครัฐเท่านั้นที่จะดำเนินการซื้อบริหารจัดการวัคซีนและการกระจายวัคซีนได้ เพื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมายและเพื่อให้สามารถติดตามอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า อปท.จะซื้อวัคซีนไม่ได้ วัคซีนที่ขึ้นทะเบียนภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน มีความชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องขายให้กับรัฐบาลเท่านั้น และรัฐบาลต้องออกใบรับรองใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินและมีเงื่อนไข



          ในระยะแรกภาครัฐเท่านั้นที่จะจัดซื้อวัคซีนได้ วัคซีนโควิด-19 ทุกยี่ห้อใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินและยังมีการรวบรวมข้อมูล ศึกษาวิจัยในระยะที่ 3 คือการใช้ในคน แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดที่รวดเร็ว มีคนติดเชื้อจำนวนมากเขาก็ยอมให้ใช้ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน คืออย่างน้อยไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตคนจนเกินที่เขาจะรับได้ และยังไม่สามารถบอกได้ว่าวัคซีนที่ฉีดไปแล้ว จะสามารถป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่ เมื่อฉีดไปแล้วคนที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตหรือไม่ถึงขั้นเข้าไอซียู การแพร่เชื้อยังเกิดขึ้นได้แต่ฤทธิ์คงน้อยลง



'หมอธีระวัฒน์'  ย้ำข้อดีการตรวจเลือดหาเชื้อโควิด-19 รวดเร็ว แม่นยำ



          ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลเรื่องการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ว่า ตอนนี้ที่ จ.สมุทรสาคร ใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีว่าติดเชื้อหรือไม่ว่า เป็นเรื่องที่ศูนย์โรคอุบัติใหม่เสนอว่าควรใช้การคัดกรองและวินิจฉัยการติดเชื้อด้วยการตรวจเลือดจากวิธีมาตรฐาน (Elisa) ตั้งแต่เดือนมี.ค.63 และเมื่อเลือดออกมาเป็นผลบวกจึงตรวจต่อว่ามีเชื้อปล่อยออกมาหรือไม่ ด้วยการตรวจหาเชื้อทางโพรงจมูกมีความรวดเร็วและมีความแน่นอนและราคาถูกกว่า  



         การตรวจด้วยวิธีมาตรฐานนี้มีความไว 100% และ จำเพาะ 100% ทั้งนี้ เนื่องจากใช้ recombinant protein RBD และ ACE2 ในการตรวจ IgM IgG และ ภูมิคุ้มกันที่ยับยั้งไวรัสได้  neutralizing antibody



         การแยงจมูกหาเชื้อ ด้วยกระบวนการ PCR จะไม่พบเชื้อทั้งหมดทุกคน ถ้าแยงครั้งเดียว จะเห็นได้ว่าคนป่วยหลายคน มีอาการปอดบวมด้วยซ้ำ แต่การตรวจหาเชื้อทางโพรงจมูก ไม่เจอสองครั้ง มาเจอครั้งที่สาม  เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องที่รับทราบกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ข้อมูลจากการเจาะเลือดพิสูจน์แล้วและกำลังจะตีพิมพ์ในวารสารPlosOne ซึ่งการตรวจที่มีการติดเชื้อที่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในขณะนี้ การหาเชื้อโดยแยงจมูกกับการตรวจเลือดของเราที่ศูนย์อุบัติใหม่กาชาดตรงกัน



          ข้อมูลเพิ่มเติม จาก www.hfocus.org ระบุว่า การตรวจเชิงรุกเช่นนี้สามารถทำได้โดยการเจาะเลือดปลายนิ้ว ปริมาณน้อย ซึ่งสามารถระบุได้ว่ามีการติดเชื้อแล้วหรือไม่ ทั้งนี้เป็นการตรวจหาหลักฐานทั้งสามแบบคือการตรวจ IgG IgM และ ภูมิ neutralizing antibody (NT) ซึ่งต้องตรวจทั้งสามชนิดเนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อจะได้รับเชื้อในช่วงเวลาแตกต่างกัน ดังนั้นต้องตรวจทั้งสามตัว และถ้าผลเลือดเป็นบวกแสดงว่า”มีการติดเชื้อ” ก็ต้องพิสูจน์ว่า”ยังปล่อยเชื้อได้หรือไม่” ด้วยการแยงจมูกและลำคอและทำการตรวจ RT PCR ซึ่งต้องตรวจมากกว่าหนึ่งครั้งและอาจจะต้องมากถึงสองถึงสามครั้งในช่วงเวลา 7 วัน ถึง 14 วัน



          ในทางกลับกันถ้าผลเลือดเป็นลบในการเจาะครั้งแรก ต้องการการ “ยืนยันชัดเจน” ต้องตรวจเลือดซ้ำเป็นครั้งที่สองในวันที่ 5-7 ทั้งนี้เนื่องจากอาจจะมีการติดเชื้อก่อนหน้าวันที่เจาะเลือดไม่กี่วัน ถ้าครั้งที่สองผลเลือดเป็นลบ จะสร้างความมั่นใจว่าไม่ได้ติดเชื้อ



CR:ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา,www.hfocus.org



พบผู้ติดเชื้อในกลุ่มจุฬาอีก 1 คน



          จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกประกาศมาตรการของคณะกรรมการโควิด-19 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหลังจากพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ฉบับที่ 5/2564  ตามที่คณะกรรมการโควิด-19 จุฬาฯ ประกาศพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ซึ่งพักอาศัยในหอพักบุคลากรและดำเนินการส่งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจุฬาฯ แล้ว



          คณะกรรมการโควิด-19 จุฬาฯ ได้มีมาตรการระดมตรวจคัดกรองโรคเชิงรุกกับกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดกับบุคลากรกลุ่มดังกล่าวเพิ่มเติมในวันที่ 9 ก.พ.64 อีก 389 คน รวมเป็นผู้ได้ตรวจคัดกรองโรคแล้ว 619 คน  ผลจากการตรวจคัดกรองเชิงรุกดังกล่าวพบว่า มีผู้ติดเชื้อเพิ่มเติมอีก 1 คน รวมเป็น 14 คน คณะกรรมการโควิด-19 จึงได้ดำเนินการสอบสวนโรคอย่างเร่งด่วน และได้ดำเนินการส่งผู้ป่วยคนดังกล่าวเข้ารักษาตัวเรียบร้อยแล้ว



          ขณะนี้กรรมการโควิด-19 ยืนยันว่า ควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ยังคงกำหนดให้บริเวณหอพักจุฬานิวาสเป็นพื้นที่ต้องดูแลเป็นพิเศษและเฝ้าระวังบุคลากรต่อไปจนครบ 14 วัน โดยจะได้จัดอาหารสำหรับผู้พักอาศัยทุกคน และได้ควบคุมการลงทะเบียนแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ในการเข้าออกอาคารอย่างเคร่งครัด



          นอกจากนี้ได้ทำความสะอาดพื้นที่ทุกชั้นทุกห้องรวมทั้งห้องน้ำและสุขภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอรวมทั้งจัดการดูแลรอยรั่วซึมต่าง ๆ ที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคได้  ทั้งนี้สถาบันป้องกันและควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค ได้มาร่วมสำรวจอาคารและสุ่มตัวอย่างสิ่งแวดล้อมไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยสูงสุดด้วย



CR: https://www.chula.ac.th/covid-19/ 



12.ก.พ.ส่งข้อมูลลับสอบบ่อนพนัน แพร่เชื้อโควิด-19 ให้นายกฯ



          นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำความผิดกรณีสถานที่เล่นการพนันจนเป็นเหตุให้เกิดการ แพร่ระบาดของโรคติดต่อโควิด-19 เปิดเผยว่าใกล้ครบกำหนด 30 วัน ที่คณะกรรมการต้องส่งรายงานลับให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ในวันที่ 12 ก.พ.64



-คณะกรรมการเน้นตรวจสอบบ่อนใน จ.ระยอง 2 แห่ง มีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท เป็นบ่อนขนาดใหญ่มีเจ้าของคนเดียวกัน ดีเอสไอและกรมการปกครองดำเนินคดีไปแล้ว เบื้องต้นพบว่าได้เปิดมานาน 1 ปี มีผู้เกี่ยวข้องในคดี  2 คน มีชื่อเจ้าของบ่อนชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ต่ำกว่า 10 คน มีทั้งตำรวจและฝ่ายปกครอง ซึ่งมีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน



-ในกรุงเทพฯมีการแจ้งเบาะแสบ่อน 47 แห่ง คณะทำงานจะตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อสาวไปให้ถึงนายทุน



ตม.สกัดจับแก๊งลักลอบลอบขนชาวต่างด้าวเข้าไทย ผู้ต้องหา 32 คน มีทั้งไทย จีน ลาว



           สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) แถลงการสกัดกั้นลักลอบขนต่างด้าวในรอบสัปดาห์ของ บก.ตม.5 จำนวน 3 คดี จับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 32 คน แบ่งเป็นชาวไทย 9 คน ชาวลาว 2 คน และชาวจีน 21 คน 



-คดีแรก เป็นขบวนการขนต่างด้าวชาวจีน จากอ.แม่สอด จ.ตาก ไป อ.แม่สาย จ.เชียงราย ใช้รถยนต์ 3 คัน สามารถจับกุมคนขับรถเป็นชายไทย 3 คน และพบต่างด้าวชาวจีนที่หลบหนีเข้าเมืองโดยสารมาในรถทั้ง 3 คัน รวม 9 คน จับกุมได้ที่หน้าโรงเรียนแม่ลอยไร่ อ.เทิง จ.เชียงราย จากนั้นขยายผลจับกุมชายไทยอีก 1 คน ขณะลักลอบขนชาวจีนอีก 7 คน ผ่าน จ.เชียงใหม่ ไป จ.แม่ฮ่องสอน



-คดีที่ 2 จับ 2 หนุ่มชาวลาว รับจ้างขนแรงงานโดยเรือหางยาวข้ามแม่น้ำโขง จากฝั่งลาว เข้ามาเทียบท่าจุดจอดเรือ แม่โขงเดลต้า บ้านป่าสักหางเวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย และจับกุมคนไทย 3 คน และชาวจีนอีก 2 คน ที่โดยสารมาเข้ามาราชอาณาจักรผิดกฎหมาย นำผู้ต้องหาส่ง สภ.เชียงแสน ดำเนินคดี



-คดีสุดท้าย จับกุมชายไทย 1 คน กำลังจอดรถยนต์รับ 3 ชาวจีน ที่มาจากลาว เพิ่งจะขึ้นฝั่งช่องทางธรรมชาติบ้านสวนดอก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย รับสารภาพว่า รับจ้างขับรถส่งคนต่างด้าวจาก จ.เชียงราย ไปส่งที่ จ.สระแก้ว คิดค่าจ้าง 15,000 บาทต่อเที่ยว และตำรวจยังขยายผลจับกุมผู้สั่งการชาวไทย ซึ่งอยู่ใน จ.เชียงราย ได้อีก 1 คน นำผู้ต้องหาส่ง สภ.บ้านแซว ดำเนินคดีตามกฎหมาย



          พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.กล่าวว่า ผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองส่วนใหญ่ทำงานกับธุรกิจสถานบันเทิงฝั่งเมียนมาและ สปป.ลาว เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 และความตึงเครียดทางการเมืองของเมียนมา ส่งผลให้ผู้ใช้บริการน้อยลงและทำให้ธุรกิจถูกปิด จึงหลบหนีเข้ามาไทย เพราะรู้สึกปลอดภัยจากโควิด-19 อีกด้วย ได้กำชับให้ชุดสืบสวนขยายผลจับกุมผู้เกี่ยวข้องและตัวการใหญ่ในการลักลอบขนคนเข้ามาทั้งหมด



ผู้สูงอายุ ไม่มีสมาร์ทโฟน ใน จ.ขอนแก่น ถูกหลอกสวมสิทธิ์เพิ่มอีกกว่า 700 คน



          สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานการจับคนที่มาหลอกชาวบ้านเป็นเหยื่อถูกหลอกเอาเลขบัตรประชาชนไปสวมสิทธิ์ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง และ เราเที่ยวด้วยกัน เพิ่มอีกเกือบ 700 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและไม่มีสมาร์ทโฟน ขณะที่แนวทางสอบสวนพบผู้ร่วมขบวนการเป็นครูผู้หญิงอีก 3คน เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการเอาผิด  ที่ศาลาประชาคม บ้านยางคำ ม.2 ต.ยางคำ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น มีชาวบ้านกว่า 500 คนรวมตัวกันลงชื่อและร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอหนองเรือ จ.ขอนแก่น หลังถูกกลุ่มข้าราชการครูนำบัตรประชาชนไปใช้ในการสวมสิทธิ์ โครงการคนละครึ่งและโครงการเราเที่ยวด้วยกันของรัฐบาล



          นางชุมพร ส่วยลี อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20 บ.ยางคำ ม.2 ต.ยางคำ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า เมื่อช่วงเดือน ต.ค.63ต่อเนื่องถึงเดือน พ.ย.63 มีข้าราชการในพื้นที่ ทราบเพียงชื่อเล่นว่าครูอ้อ ทำงานในเทศบาลตำบลยางคำ และเป็นครูผู้สอนที่ศูนย์ปฐมวัยของเทศบาล ได้มาบอกว่าให้ถ่ายสำเนาบัตรประชาชนมาให้แล้วจะได้รับเงิน 200 บาท จึงได้รวบรวมเอาบัตรประชาชนของคนในครอบครัวไปมอบให้ครูอ้อ จากนั้นก็รับเงินมาโดยครูอ้อ กำชับว่า รับเงินไปแล้ว ห้ามบอกใครเด็ดขาด จากข้อมูลที่ได้รับเจ้าหน้าที่ขยายผลตรวจสอบต่อไป



CR:สำนักงานตำรวจแห่งชาติ



 

ข่าวทั้งหมด

X