นพ.พอล สตอฟเฟลส์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J)ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่าบริษัทได้ยื่นคำขออย่างเป็นทางการให้องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ(FDA)พิจารณาอนุมัติให้ใช้วัคซีนจากบริษัท J&Jป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนทั่วโลกและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวัคซีนและผลิตภัณฑ์ชีวภาพของ FDA ซึ่งประกอบด้วยคณะผู้เชี่ยวชาญอิสระจะประชุมในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อพิจารณาข้อมูลผลการวิจัยทางคลินิก พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะต่างๆเสนอให้ FDA ตัดสินใจเรื่องนี้ต่อไป
ในกรณีที่ FDA อนุญาตให้ใช้วัคซีนของบริษัท J&J คณะกรรมการอีกชุดหนึ่งของ FDA คือ คณะกรรมการที่ปรึกษาที่กำหนดหลักปฏิบัติเรื่องการวิจัยวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค(ACIP) จะประชุมพิจารณารายละเอียดต่างๆ เช่น ควรกำหนดกลุ่มอายุขั้นต่ำของผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนอย่างไรหรือกลุ่มเสี่ยงที่ควรจะได้รับการฉีดก่อนกลุ่มอื่นๆ เป็นขั้นตอนการพิจารณาปกติในลักษณะเดียวกับขั้นตอนการอนุมัติวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเท็ค ผู้ผลิตวัคซีนสหรัฐฯ-เยอรมนี ซึ่ง FDA ใช้เวลาพิจารณากว่า 3 สัปดาห์ ก่อนอนุมัติเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมปีที่แล้ว ส่วนวัคซีนจากบริษัทโมเดอร์นาของสหรัฐฯ FDA ใช้เวลาพิจารณากว่า 2 สัปดาห์ อนุมัติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมปีที่แล้ว
ลักษณะที่ต่างจากวัคซีนอื่นๆคือ วัคซีนจากบริษัท J&J ฉีดเพียงเข็มเดียว ขณะที่วัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์และบริษัทโมเดอร์นาฉีด 2 เข็ม นอกจากนี้ ผลวิจัยในเฟสที่ 3 ทั่วโลก ชี้ว่า วัคซีนจาก J&J มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคร้อยละ 66 สร้างภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ลดจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 85 นอกจากนี้ ยังสามารถจัดเก็บวัคซีนในช่องเย็นของตู้เย็นทั่วไปที่ใช้ในบ้านนานถึง 3 เดือนโดยที่คุณภาพวัคซีนไม่เปลี่ยนจากเดิม ไม่ต้องจัดเก็บวัคซีนในอุณหภูมิที่ติดลบ 70 องศาเซลเซียส ดังเช่นวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์
Cr: CNN, Time of Israel