ดริงค์เดียวก็เสี่ยง! ศบค.ชี้ จัดงานเลี้ยงส่วนตัว ยิ่งเสี่ยงติดโควิด-19

05 กุมภาพันธ์ 2564, 12:31น.


           พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชี้แจงถึงปัจจัยเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 จากการจัดงานเลี้ยงส่วนตัว เนื่องจาก ร้านอาหารไม่สามารถเปิดให้บริการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน โดยยกตัวอย่างการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนในกรุงเทพมหานคร ที่เกิดจากการจัดงานเลี้ยงส่วนตัว 4 เหตุการณ์ คือ 


1. การจัดงานเลี้ยงที่มีผู้ร่วมงาน 30 คน ทำให้เกิดผู้ติดเชื้อ 9 คน  


2. การจัดงานเลี้ยงที่มีผู้ร่วมงาน 13 คน มีผู้ติดเชื้อ 10 คน 


3. การจัดงานเลี้ยงที่มีผู้เข้าร่วมงาน 7 คน  มีผู้ติดเชื้อทั้ง 7 คน 


4. การจัดงานเลี้ยงที่มีผู้เข้าร่วมงาน 16 คน ติดเชื้อทั้งหมด 16 คน 


 




 


          พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อของผู้ร่วมงานเลี้ยงส่วนตัว คือ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก้วเดียวกัน อยู่ในสถานที่แออัดร่วมงานเป็นเวลานาน ใช้มือหยิบจับอาหารและน้ำแข็ง โดยเฉพาะหลังจากมึนเมา มีการเต้นรำใกล้ชิดกัน ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย  ซึ่งเป็นตัวอย่างที่สะท้อนได้ว่า แม้ว่าจะพยายามจัดงานเลี้ยงอย่างรัดกุม มีการเว้นระยะห่าง แต่เมื่อมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป 1-2 ดริงค์ จะเริ่มมีอาการเฉื่อยชา การตอบสนองช้าลง และขาดความยับยั้งชั่งใจ เสียการควบคุมตัวเอง เริ่มไม่ระมัดระวังตัวเอง จึงเป็นเหตุผลว่า แม้จะมีมาตรการคุมเข้มอย่างไร ก็จะเกิดการหละหลวม 


           ซึ่งตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า เบียร์จำนวน 1 ดริงค์ เท่ากับเบียร์ขนาด 330 CC แอลกอฮอล์ 4% จำนวน 1 กระป๋อง,ไวน์ 1 ดริงค์ เท่ากับ 1 แก้ว ขนาด 100 CC แอลกอฮอล์ 12.5%, วิสกี้ แอลกอฮอล์ 40% 1 ดริงค์ เท่ากับ 30 CC หรือ 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่ร่วมงานเลี้ยง มักจะดื่มเกินกว่านี้ ดังนั้นหากสถานบันเทิง ร้านอาหารที่ต้องการขายแอลกอฮอล์ จะต้องเสนอมาตรการว่าจะควบคุมดูแลอย่างไร ไม่ให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อ  


          ส่วนการติดเชื้อในสถานที่ทำงานในกรุงเทพฯ ยกตัวอย่าง 2 กรณี คือ 


1. สำนักงานคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง มีพนักงาน 7 คน ติดเชื้อ 5 คน 


2. แผนกหนึ่งในบริษัทแห่งหนึ่ง  มีพนักงาน 10 คน ติดเชื้อ 9 คน


 


 


 


          พฤติกรรมเสี่ยงส่วนใหญ่ คือ การรับประทานอาหารร่วมกัน มีการพูดคุยระหว่างรับประทานอาหาร ไม่ใช้ช้อนกลาง หรือไม่สวมหน้ากากอนามัยขณะทำงานอยู่ในห้องเดียวกันหรือนั่งรถรับ-ส่งพนักงานคันเดียวกัน  ดังนั้น หลังจากนี้ องค์กรหรือสถานที่ทำงานต่างๆ ต้องยกระดับเข้มข้นให้สวมหน้ากากอนามัยขณะทำงานในห้องเดียวกันด้วย ซึ่งจากการสำรวจพฤติกรรมคนไทยโดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับองค์การอนามัยโลก สำนักงานเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก พบว่า เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการ ก็เริ่มมีพฤติกรรมการ์ดตกลงไปด้วย รวมทั้งการเดินทางออกต่างจังหวัดก็มีเพิ่มมากขึ้นในช่วงผ่อนคลายมาตรการด้วย 


          นอกจากนี้ ศบค.ยังหารือกันเกี่ยวกับกรณีผู้มีความเสี่ยงสูง หรือผู้ที่สัมผัสผู้ติดเชื้อ ไอจามรดกัน พูดคุยกันเกิน 5 นาที อยู่ในสถานที่ปิดเกิน 15 นาทีโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย ซึ่งคนกลุ่มนี้จะต้องกักตัวเองที่บ้านเพื่อสังเกตอาการ  แต่บางคนไม่กักตัว โดยให้เหตุผลว่า ที่บ้านมีคนอยู่เยอะ หรือสถานที่คับแคบ กักตัวลำบาก  ซึ่ง ศบค.จะทบทวนมาตรการเกี่ยวกับสถานที่กักตัวของรัฐ ว่าจะให้ผู้มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้ เข้ากักตัวในสถานที่กักตัวแบบสมัครใจได้หรือไม่ ซึ่ง ศบค.จะนำไปหารือกันเกี่ยวกับรูปแบบและค่าใช้จ่าย ในสัปดาห์หน้า  
ข่าวทั้งหมด

X