คลังกดปุ่ม 9,400 ล้าน ประเดิมโอนเงิน "เราชนะ" ก้อนแรก ให้บัตรคนจน
วันนี้เป็นวันแรกที่คนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะเป็นกลุ่มที่ได้รับการโอนเงินในโครงการเราชนะครั้งแรกในวงเงิน 675 บาท หรือ 700 บาท จากนั้นจะได้รับทุกวันศุกร์จนถึงวันที่ 26 มี.ค.64 และสามารถใช้เงินได้จนถึงวันที่ 31พ.ค.64
น.ส.กุลยา ตันติเตมิท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง พร้อมโอนวงเงินโครงการเราชนะ ก้อนแรกให้กลุ่มนี้ทั้ง 13,800,000 คน สัปดาห์แรกจะใช้งบประมาณรวมกว่า 9,400 ล้านบาท
-ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จะได้รับเงินเพิ่ม 700 บาท ได้รับวงเงินเพิ่มรวม 5,400 บาท
-ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ที่มีรายได้เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี จะได้รับเพิ่ม 675 บาท ได้รับเงินเพิ่มรวม 5,600 บาท
ทั้งนี้ วงเงินที่ได้รับเพิ่มเมื่อนำไปรวมกับเงินสวัสดิการที่ได้รับอยู่แล้วจะรวมเท่ากับ 7,000 บาท เช่นกัน โดยเงินในโครงการเราชนะ สามารถสะสมและนำไปใช้ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้จนถึง 31 พ.ค.64 รวมถึงสามารถตรวจสอบวงเงินคงเหลือได้ที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย หรือเครื่องรูดบัตรอีดีซีที่ร้านธงฟ้า
เช็คสิทธิได้เลย! โครงการเราชนะที่ www.เราชนะ.com
คนกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกันที่มีฐานข้อมูลลงทะเบียนอยู่แล้ว วันนี้วันแรกที่จะเช็คสิทธิว่ามีคุณสมบัติสามารถเข้าร่วมโครงการเราชนะได้หรือไม่ ให้เข้าไปเช็คสิทธิที่ www.เราชนะ.com เริ่มกดยืนยันสิทธิผ่านแอปพลิเคชั่น เป๋าตัง และได้รับวงเงินครั้งแรก 2,000 บาท ในวันที่ 18 ก.พ.64 จากนั้นได้รับเงินทุกวันพฤหัสบดีจนถึง 18 มี.ค.64 ครั้งละ 1,000 บาท และใช้จ่ายวันสุดท้าย 31 พ.ค.64
วันนี้ ก.แรงงาน ลงนามเสนอโครงการเรารักกัน ม.33 ให้ก.คลัง
ส่วนกลุ่มที่ 2 ที่ไม่ผ่านสิทธิ เป็นพนักงานรัฐ ข้าราชการ ผู้มีรายได้สูง และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ให้รอความชัดเจนโครงการเรารักกัน ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนัดประชุมสรุปรายละเอียดก่อนนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุว่า วันนี้ กระทรวงแรงงานจะลงนามหนังสือเพื่อเสนอไปยังกระทรวงการคลัง และเตรียมนำเข้า ครม.ให้ทันวันที่ 9 ก.พ.64 แต่หากไม่ทันคงต้องเลื่อนออกไป แต่ยืนยันว่าจะจ่ายได้ในเดือน มี.ค.64 แน่นอน เบื้องต้น คนที่ได้รับคือคนที่อยู่ในมาตรา 33 ประกันสังคม และมีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท ได้รับคนละ 4,000 บาท เริ่มโอนให้ผ่านทางแอปพลิเคชันเป๋าตังครั้งละ 1,000 บาท เริ่มเดือน มี.ค.64
แฟ้มภาพ กระทรวงการคลัง
พม. ประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ หาข้อสรุปเรียกคืนเบี้ยผู้สูงอายุ
นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ชี้แจงประเด็นการเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุว่าการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เกิดขึ้นปี 2552 มีประชากรไม่มาก แต่ปี 2564 พบว่ามีประชากร ผู้สูงอายุมากถึงร้อยละ 20 ของประชากร หรือคิดเป็นจำนวน 12,000,000 คน จากนั้นปี 2578 เพิ่มเป็น 20,000,000 คน หรือร้อยละ 30 ของประชากร
ปี 2561 กรมบัญชีกลางและกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น บูรณาการข้อมูล พบว่า จำนวนที่ใช้สิทธิ 10,100,000 คน พบว่าซ้ำซ้อน 15,300 คน พบความผิดพลาดร้อยละ 0.001 และได้แก้ไขโดยติดต่อไปยังผู้สูงอายุว่าหากได้รับการติดต่อขอเงินคืนให้ติดต่อทนายความ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ให้บูรณาการแก้ปัญหาไม่ให้ผู้สูงอายุเดือดร้อนและต้องทำตามกฎหมาย
วันนี้ จะมีการประชุมด่วนของกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ หาทางแก้ปัญหาทางกฎหมาย ซึ่งมีข้อสรุป ตรงกันว่าไม่ควรเรียกเงินคืน ทั้งนี้ กรณีที่ผู้สูงอายุได้รับบำนาญพิเศษนั้น ตรวจสอบแล้วพบว่ามีบำนาญพิเศษมากถึง 24 ประเภท และมีบำเหน็จตกทอด ดังนั้น กรรมการจะพิจารณาให้เป็นธรรม หรือได้มาโดยอาจจะแจ้งไม่ถูกต้อง ก็จะพิจารณาเป็นรายบุคคล
รมว.คลัง การันตีฐานะการคลังแข็งแกร่ง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึง กรณีที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยว่าอยู่ในระดับย่ำแย่ ฐานะการคลังมีความเปราะบางจนอาจนำไปสู่การล้มละลายทางการคลังว่า ปัจจุบันสถานะและเงินคงคลังของประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่มั่นคง แม้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 50 ของอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบความมั่นคงทางการคลัง ที่กำหนดว่าหนี้สาธารณะต้องไม่เกินร้อยละ 60 ของจีดีพี
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) อธิบายว่า หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธ.ค. 63 มีจำนวนทั้งสิ้น 8.1 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เท่ากับร้อยละ 52.1 ยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังที่กำหนดให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ไม่เกินร้อยละ 60 และหนี้ที่เกิดขึ้นเป็นการนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ส่งผลให้เกิดการจ้างงานและช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
'บลูมเบิร์ก'ยกไทยน่าสนใจอันดับ1กลุ่มประเทศศก.เกิดใหม่
สศค.แจ้งว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก(Bloomberg) ประเมินมุมมองอนาคตเศรษฐกิจของไทยปี 64 ว่าเป็นประเทศที่น่าสนใจเป็นอันดับ 1 ใน 17 ประเทศในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market Economies) สะท้อนได้จากเงินสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง ความแข็งแกร่งในภาคการเงินระหว่างประเทศและศักยภาพในการดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ
Bloomberg เผยแพร่ดัชนีประสิทธิภาพของระบบรักษาสุขภาพ (Bloomberg Heath-Efficiency Index 2020) ชื่นชมประเทศไทยว่าเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรก (อันดับที่ 9) ของประเทศที่มีระบบรักษาสุขภาพที่มีประสิทธิภาพสูงเหนือกว่าอีกหลายประเทศจากกลุ่มตัวอย่าง 57 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ แสดงให้เห็นถึงระบบสาธารณสุขของไทยที่มีประสิทธิภาพสูง