นักวิเคราะห์ ชี้การยึดอำนาจในเมียนมา เป็นปัญหาท้าทายสำหรับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ

          นายเมอร์รีย์ ไฮเบิร์ต ผู้เชี่ยวชาญเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำศูนย์การศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ(CSIS)ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐฯเปิดเผยว่าการที่กองทัพเมียนมา ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของนางอองซาน ซูจี ผู้นำสูงสุดของเมียนมานับเป็นปัญหาท้าทายสำหรับรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ รัฐบาลของนายไบเดน ยืนยันสนับสนุนเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน แต่เนื่องจากทหารระดับสูงของเมียนมาถูกสหรัฐฯคว่ำบาตรอยู่ก่อนแล้วจากประเด็นการใช้ความรุนแรงปราบปรามชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญา ยังไม่มีความชัดเจนว่าสหรัฐฯจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไรในอนาคตอันใกล้

          ท่าที ล่าสุดของสหรัฐฯ นางเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีไบเดน ได้รับรายงานเรื่องการยึดอำนาจในเมียนมาแล้ว ระบุว่า สหรัฐฯคัดค้านความพยายามของกองทัพเมียนมาที่จะเปลี่ยนแปลงผลการเลือกเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนปีที่แล้ว หรือการกระทำต่างๆที่กระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยของเมียนมา พร้อมทั้งจะดำเนินมาตรการต่างๆเพื่อเอาผิดกับกลุ่มบุคคลที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าหากไม่ดำเนินมาตรการต่างๆเพื่อคืนอำนาจให้กับรัฐบาลพลเรือนของเมียนมา         

          ขณะที่นางมาริส เพย์น รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า รัฐบาลออสเตรเลียรู้สึกกังวลอย่างมากหลังมีรายงานว่ากองทัพเมียนมาเข้ามายึดอำนาจจากรัฐบาลอีกครั้งเมื่อเช้ามืดวันนี้ ขอให้กองทัพปฏิบัติตามหลักนิติธรรม แก้ปัญหาขัดแย้งต่างๆโดยใช้วิธีการที่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมขอให้ปล่อยตัวนางซูจีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมียนมาที่ถูกจับกุมทันที

          สำหรับนางซูจี วัย 75 ปี เคยคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ นำพรรค NLD บริหารประเทศหลังชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นเมื่อปี 2558 หลังถูกกักตัวในบ้านพัก 15 ปีระหว่างการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ทำให้เธอได้รับเสียงชื่นชมจากคนทั่วโลก ต่อมาภาพลักษณ์ของเธอเสื่อมเสียในสายตาของนานาชาติ หลังกองทัพเมียนมาใช้ปฏิบัติการทางทหารขับไล่ชาวโรฮิงญาหลายแสนคนออกจากรัฐยะไข่ในปี 2560 แต่เธอไม่แสดงออกว่าจะคัดค้านทำให้ทั่วโลกแสดงความผิดหวัง แต่อย่างไรก็ตาม ในสายตาชาวเมียนมา นางซูจี ยังเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียง ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก

Cr: Reuters, CNN, SCMP