ภาคเอกชน สมุทรสาคร จับมือตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบกลุ่ม รวดเร็ว-ครอบคลุม
ประธานสภาอุตสาหกรรม เป็นตัวแทนองค์กรภาคเอกชน เปิดเผยโครงการรวมใจรักษ์สมุทรสาคร เชิญชวนสถานประกอบการ เข้าร่วมตรวจโควิด-19 แบบกลุ่ม โดยจะเป็นการตรวจแบบกลุ่ม จากการเก็บน้ำลายของคน 5 คน มารวมกันแล้วตรวจออกมาได้ผล 1 ชุด ซึ่งหากชุดใด มีผลออกมาเป็นบวก แสดงว่าพบเชื้อโควิด-19 ก็จะนำกลุ่มคนทั้ง 5 คนนั้นมาตรวจเป็นแบบรายบุคคล ด้วยวิธีการ SWAB หรือตรวจหาเชื้อทางโพรงจมูกอีกครั้ง เพื่อหาว่าเชื้อจากใคร แต่ถ้าผลของกลุ่มไหนไม่พบเชื้อ แสดงว่า 5 คนนั้น ไม่มีการติดเชื้อ ข้อดีคือ ทำให้การตีกรอบพื้นที่คลุมการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะทุกคนสามารถตรวจได้อย่างครอบคลุม เนื่องจากราคาถูก และได้ผลที่รวดเร็ว โดยมีการเชิญชวนกลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่สีเขียว เช่น ในอำเภอบ้านแพ้ว หรือ บางตำบลของอำเภอกระทุ่มแบน ทำการตรวจ หากไม่พบเชื้อ ก็จะออกใบรับรองผลการตรวจจากสาธารณสุขด้วย โดยสามารถใช้เป็นหลักฐานในการทำกิจการหรือการซื้อขายได้
ค้นหาเชิงรุกต่อเนื่อง สมุทรสาคร พบติดเชื้ออีก 733 คน
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร รายงานสถานการณ์ โควิด-19 ในพื้นที่ว่าข้อมูลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตัวเลขเมื่อเวลา 24.00 น. วันที่ 27 ม.ค. 64
1.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 733 คน
-มาจากการค้นหาเชิงรุก 724 คน (คนไทย 14 คน,ต่างด้าว 710 คน) ในโรงพยาบาล 9 คน เป็นคนไทยทั้งหมด ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสม 8,080 คน พบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 3 ราย
2.การดูแลรักษา
-ในโรงพยาบาลรวม 1,791 คน (อยู่ระหว่างการรักษารวม 450 คน รักษาหายแล้วรวม 1,338 คน)
-สังเกตอาการรวม 6,289 คน (อยู่ระหว่างสังเกตอาการรวม 3,839 คน หายแล้วรวม 2,450 คน ไม่มีการส่งต่อ)
CR:สำนักงานสาธารณสุข จ.สมุทรสาคร
ขยายผลค้น 5 จุด รวบผู้ต้องหาชาวเมียนมา-ไทย แก๊งขนแรงงานข้ามชาติ
ผลปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายขนแรงงานข้ามชาติชาวโรฮิงญา หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกลุ่มคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา (โรฮิงญา) จํานวน 19 คน หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายจากรัฐยะไข่ เมียนมา เข้ามาประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติ อ.แม่สอด จ.ตาก แล้วลักลอบเดินทางจาก อ.แม่สอด จ.ตาก มาพักที่บ้านเช่าในพื้นที่ย่านดอนเมือง จากการสอบสวนโรค พบว่า ในกลุ่มดังกล่าวมีแรงงานที่มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวกกว่า 7 คน ทําให้ต้องกักตัวทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงานจํานวนหนึ่ง
ชุดสืบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง รวบรวมพยานหลักฐาน จนพบว่า กลุ่มขบวนการดังกล่าวเป็นแก๊งขนแรงงาน นําโดย เจ๊ดา หรือ นางนิดา สัญชาติเมียนมา และ นายอุสเซ็น หรือ บาบู ซามิ สัญชาติเมียนมา เป็นตัวการ เป็นผู้เชื่อมโยงเครือข่ายขนแรงงานเข้ามาจากแม่สอดมาในพื้นที่ชั้นใน พบมีเส้นทางการเงินหมุนเวียนอยู่ในบัญชี 10-20 ล้านบาท และอยู่ระหว่างตรวจสอบความเชื่อมโยงเส้นทางการเงินเพิ่มเติม นางนิดา ร่วมกับพวกซึ่งเป็นคนไทยและอดีตข้าราชการกระทําความผิด จึงได้รวบรวม พยานหลักฐานจนกระทั่งศาลอนุมัติหมายค้น และหมายจับกลุ่มเครือข่ายดังกล่าว
พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. กล่าวว่า วันที่ 25 ม.ค. 64 เจ้าหน้าตำรวจ นํากําลังหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ตรวจค้นพร้อมกันในพื้นที่ 5 จังหวัด
1. พื้นที่ จ.ตาก มีเป้าหมายตรวจค้น 2 จุด คือ
-บ้านเลขที่ 81/2 สองแคว 1 ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก
-บ้านเลขที่ 137 ม.5 บ้านหนองกิ่งฟ้า ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก
สามารถจับกุม ผู้ต้องหา 3 คน ได้แก่ 1. นายณัฐกร อิสแมน พร้อมของกลางรถยนต์ กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีบรอนซ์ ทะเบียน กค 7398 ตาก (รถขน) 2. พลฯ นภวัต หรือ ศราวุธ จินดา ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการตํารวจถูกจับและไล่ออกเมื่อปี 2555 พร้อมของกลางรถยนต์ กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ ทะเบียน บน 4826 ตาก (รถนํา) 3. นายวิเชษฐ์ สุขศรี พร้อมของกลางรถยนต์ กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีบรอนซ์ ทะเบียน กค 7398 ตาก (รถขน)
2. พื้นที่ กทม.ตรวจค้นบ้านเลขที่ 11/192 ซอยช่างอากาศอุทิศ 12 แขวง/เขตดอนเมือง กทม. ผลการตรวจค้นจับกุม น.ส.ศิริพร บัวพิมพ์ ภรรยาของนายบาบู และตรวจยึดสมุดบัญชีและโทรศัพท์ไว้เพื่อตรวจสอบ
3. ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี ตรวจค้นบ้านเลขที่ 16/09602 และเลขที่ 16/09603 บ้านเอื้ออาทร ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ผลการตรวจค้น เก็บหลักฐานข้อมูลโทรศัพท์มือถือ และสมุดบัญชีธนาคารเพื่อสืบสวนขยายผล
4. พื้นที่ จ.นราธิวาส ตรวจค้นบ้านเลขที่ 198/54 หมู่บ้านเนเจอร์โฮม หมู่ 5 ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย โดยได้ตรวจสอบเก็บหลักฐานข้อมูลโทรศัพท์มือถือ และสมุดบัญชีธนาคาร เพื่อหาเส้นทางการเงิน
5. พื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ตรวจค้นเป้าหมายห้องเช่า ซึ่งเช่าไว้เพื่อให้คนต่างด้าวพักอาศัย
-เลขที่ 548/5 ต.สวนหลวง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีศรีธรรมราช
-เลขที่ 43/4 ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช
-เลขที่ 424/1 ม.7 ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช
ผลการตรวจค้นได้จับกุมผู้ต้องหาจํานวน 2 คน ได้แก่ 1. นายละมอ สัญชาติเมียนมา 2. นายมอ มอ ทุย สัญชาติเมียนมา พร้อมกับได้ตรวจยึดรถจักรยานยนต์ 2 คัน และอุปกรณ์ที่ใช้ช่วยเหลือคนต่างด้าวให้หลบหนีจากที่กักตัว ได้แก่ ประแจเบอร์ 19, แม่กุญแจยี่ห้อ ASCC มีร่องรอยถูกงัดจนหัก และสมุดบัญชีธนาคาร
สรุปผลการปฏิบัติงาน สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งสิ้น 7 คน และยึดของกลางเป็นรถยนต์จํานวน 5 คัน พร้อมด้วยโทรศัพท์มือถือและบัญชีธนาคารจํานวนหนึ่ง
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า คณะทํางานสํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ลงพื้นที่ตรวจค้นและตรวจสอบร่วมกับ ตํารวจภูธรภาค 7 พบว่ามีขบวนการขนแรงงานต่างด้าว โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง จํานวน 37 นาย มีทั้งเข้าข่ายถูกดําเนินการทางอาญา ทางวินัยและทางปกครอง ทั้งนี้ สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ ดําเนินการกับข้าราชการตํารวจที่มีส่วนพัวพันกับขบวนการขนแรงงานต่างด้าว ตั้งแต่ปี 2558-2563 แบ่งเป็น ดําเนินคดีอาญา 6 นาย และดําเนินการทางวินัย 49 นาย
บุกจับนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ 111 คน แอบจัดปาร์ตี้ในบาร์ดัง บนเกาะพะงัน
ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี บุกไปที่ร้าน 360 Three Sixty Bar เลขที่ 85/2 หมู่ 7 ต.เกาะพงัน อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีการจัดปาร์ตี้ วันครบรอบ 5 ปีของร้าน คิดค่าเข้าบริการรายละ 100 บาท โดยมีการจัดสถานที่เป็นสถานบันเทิง เปิดเพลง และจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับลูกค้าชาวต่างชาติและคนไทย เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สามารถจับกุมผู้ร่วมงานได้ ทั้งหมด 111 คน เป็นชาวต่างชาติ 89 คน และคนไทยอีก 20 คน มีนายพงศ์ดารัณ ลิ้มโอชา อายุ 40 ปี เป็นเจ้าของร้านและผู้จัดสถานบันเทิง และ นายสมสกุล เกียรติณรงค์ อายุ 47 ปี ทำหน้าที่บริการลูกค้าโดยจำหน่ายสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เจ้าหน้าที่จึงยึดสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้เป็นของกลาง พร้อมแจ้งข้อหาลูกค้าคนไทยและต่างชาติ ทั้งหมด 109 คน ในข้อหากระทำการชุมนุมทำกิจกรรมรวมคนที่มีความแออัดเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ประกาศและมีคำสั่งเป็นพื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูง หรือ พื้นที่เฝ้าระวัง และ แจ้งข้อหานายพงศ์ดารัณ และนายสมสกุล ในข้อหากระทำการชุมนุมทำกิจกรรมรวมคนที่มีความแออัดเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ประกาศและมีคำสั่งเป็นพื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูง หรือ พื้นที่เฝ้าระวัง เปิดร้านอาหารโดยจัดให้มีการบริโภคสุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ภายในร้าน และร่วมกันตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
CR:โทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กวาดล้างทุจริต 'เราเที่ยวด้วยกัน'ที่ จ.ชัยภูมิ- ภูเก็ต มีประชาชนเข้าร่วมกว่า 9,000 คน
เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานกองปราบ เปิดปฏิบัติการกวาดล้างจับกุมผู้กระทำผิดทุจริตโครงการ 'เราเที่ยวด้วยกัน' โดยกระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายจำนวน 55 จุด ในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ 41 จุด และ จ.ภูเก็ต 14 จุด
พล.ต.อ.สุวัฒน์ ระบุว่า จากการปฎิบัติการดังกล่าว จับผู้ต้องหาได้ 50 คน จุดหลักๆอยู่ที่โรงแรมณัฐชญา รีสอร์ทและผู้เกี่ยวข้อง ใน จ.ชัยภูมิและใกล้เคียง จำนวน 41 หมายจับ ได้ผู้กระทำผิด 36 คน ซึ่งมีทั้งเจ้าของโรงแรม เจ้าของร้านค้า คนกลางรวบรวมสิทธิหรือสวมสิทธิ ผู้รับจ้างเปิดบัญชี ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม กระจายในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ เลย นครราชสีมา ขอนแก่น เพชรบูรณ์และศรีสะเกษ
พฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหา พบว่ามีการลงทะเบียนเป็นรีสอร์ตขนาดเล็ก มีห้องพักทั้งหมด 10 ห้อง ตั้งแต่เดือนก.ค.63 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ใช้สิทธิในโครงการ จำนวน 9,263 คน ยอดจองห้อง 92,028 ห้อง เฉลี่ย 1,000-3,000 ห้อง/วัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และกว่าร้อยละ 99 ของการจองห้องพัก 1 คน จะจอง 10 ห้องเต็มทุกครั้ง และเวลาในการเช็กอินและเช็กเอาต์ ทับซ้อนไม่สัมพันธ์กัน
นอกจากนี้ ยังพบว่า คูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินห้องพักที่ใช้สำหรับสแกนจ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ มียอดการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ รวมมูลค่าความเสียหายในส่วนของโรงแรมนี้ 14,000,000 บาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิด 101 ร้าน ความเสียหายรวมประมาณ 87,000,000 บาท
อีกจุดหลัก คือ ที่โรงแรมธาราป่าตอง จังหวัดภูเก็ต และเครือข่าย จับผู้กระทำผิดได้14คน ซึ่งมีทั้งเจ้าของโรงแรม เจ้าของร้านค้า คนกลางรวบรวมสิทธิหรือสวมสิทธิ ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม และยังมีประชาชนที่ร่วมทุจริต รวมกว่า 800 คน ซึ่งพฤติกรรมของกลุ่มนี้จะแตกต่างออกไป โดยโรงแรมจะร่วมกับผู้จัดทัวร์ เชิญชวนประชาชน หากจองห้องพักเต็มสิทธิ จะให้เข้าร่วมกิจกรรมทัวร์ 3 วัน 2 คืนโดยไม่มีการเข้าพักโรงแรมจริง นอกจากนี้ ผู้จัดทัวร์กิจกรรม ยังให้ประชาชนชำระค่าบริการในการทำกิจกรรม โดยให้สแกนคูปองที่ได้รับหลังการเช็คอินห้องพัก มาสแกนใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุมไว้ พบรัฐเสียหายจากโรงแรม 18 ล้านบาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิด 2,000,000 บาท ความเสียหายเกือบ 4,000,000 บาท
ขณะที่ ผบ.ตร.กล่าวเพิ่มเติมว่า หากสอบสวนพบว่ายังมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องเพิ่มเติม จะต้องขยายผลดำเนินคดีเพิ่มเช่นประชาชนที่จงใจร่วมใช้สิทธิในลักษณะทุจริต เบื้องต้น คาดว่า มีมากถึง 9,000 คนทั่วประเทศและเตรียมเรียกตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ ตำรวจยังพบลักษณะคล้ายกันนี้อีกหลายพื้นที่โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวหลักและจังหวัดรอง รวมอีกกว่า 900 คน โดยอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม
ผบ.ตร.ย้ำว่าสำหรับผู้ต้องหาจะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง,ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น , ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนฯ และ ข้อหา ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ทั้งนี้ พฤติกรรมการกระทำความผิดในคดีนี้ มีลักษณะของการฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งก็จะได้ประสานไปที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) ดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงินด้วย