อพยพคนงานจากรง.ผลิตวัคซีนแอสตราเซเนกา หลังพบวัตถุต้องสงสัย
เจ้าหน้าที่สั่งอพยพคนงานออกจากโรงงานผลิตวัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกา ของอังกฤษ หลังพบวัตถุต้องสงสัย โรงงานดังกล่าวผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งบริษัทแอสตราเซเนกาพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ตั้งอยู่ที่แคว้นเวลส์ และดำเนินการผลิตโดยบริษัทวอคฮาร์ด ยูเค หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดเดินทางไปตรวจสอบจุดที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งปิดกั้นบริเวณดังกล่าว และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ผู้นำอังกฤษ ไม่พอใจอียู เรื่องการส่งมอบวัคซีน หวังว่ายุโรปจะทำตามสัญญา
ปัญหาเรื่องการส่งวัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกาให้กับกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป(อียู) กลายเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม หลังจากที่อียู ไม่พอใจบริษัทแอสตราเซเนกาของอังกฤษ ส่งมอบวัคซีนให้กับกลุ่มอียูล่าช้า คือในช่วงไตรมาสแรก ส่งมอบเพียง 31 ล้านโดส จากแผนเดิม 80 ล้านโดส นายปาสคาล โซเรียต ซีอีโอของบริษัทแอสตราเซเนกา เปิดเผยว่า ได้จัดลำดับความสำคัญของการส่งมอบวัคซีนให้กับอังกฤษก่อนการส่งมอบวัคซีนให้กับกลุ่มอียู เนื่องจากอังกฤษจองซื้อวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกาตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว หรือ 3 เดือนก่อนที่กลุ่มอียูลงนามในข้อตกลงซื้อวัคซีนกับแอสตราเซเนกา
อียู สั่งซื้อวัคซีน 300,000,000 โดสจากบริษัทยาแอสตราเซเนกา และอาจมีการสั่งเพิ่มอีก 100,000,000 โดส ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทแอสตราเซเนกา แถลงว่าความล่าช้าในการจัดส่งเนื่องมาจากกระสบปัญหาระหว่างการผลิต
ด้านคณะกรรมาธิการยุโรปกำกับด้านสุขภาพและความปลอดภัยอาหาร ประกาศว่าอียูสามารถออกมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและประชาชนของยุโรปได้ ทำให้ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายบอริส จอห์นสัน แถลงข่าวที่ถนนดาวนิง ทำเนียบรัฐบาลอังกฤษ คาดหวังว่า อียูจะทำตามทุกข้อตกลงในการส่งมอบวัคซีนโควิด-19ให้กับอังกฤษ พร้อมทั้งระบุว่า อังกฤษจะยังคงร่วมมือกับเพื่อนและพันธมิตรในอียูรวมทั้งร่วมมือกับประเทศทั่วโลกด้วย
ตร.รวบตัว หมออิตาลี ฉีดยาพิษผู้ป่วยโควิด-19 เสียชีวิต 2 ราย
เว็บไซต์ข่าว The Times รายงานว่า นพ.คาร์โล มอสคา วัย 47 ปี ถูกตำรวจจับกุมตัวที่บ้านพักในเมืองมอนโตวา ในแคว้นลอมบาร์เดีย อิตาลี และถูกตำรวจสอบสวนกรณีก่อเหตุฆาตกรรมผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 2 ราย เพื่อให้มีเตียงว่างสำหรับผู้ป่วยรายอื่น ในช่วงที่อิตาลีประสบปัญหาวิกฤตด้านสาธารณสุข โรงพยาบาลเต็มล้นไม่มีเตียงพอสำหรับผู้ป่วยเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงของโรคโควิด-19 เมื่อเดือน มี.ค.63 ตำรวจเข้าจับกุมตัว นพ.บาสซี หลังจากได้รับหลักฐานเป็นข้อความสนทนาออนไลน์ใน "WhatsApps" ระหว่างนางพยาบาลหลายคนของโรงพยาบาล ที่ระบุว่านพ.มอสคา สังหารผู้ป่วยเพื่อเคลียร์เตียงให้คนไข้รายอื่นในแผนกดูแลผู้ป่วยโควิด-19
ผู้เสียชีวิต 2 ราย ได้แก่ นายนาทาล บาสซี วัย 61 ปี และนายแองเจโล ปาเล็ตติ วัย 80 ปี ผู้ป่วยของโรงพยาบาล ลอมบาร์ดี เอแอนด์อี ในเมืองมอนโตวา ถูกฉีดยา "ซูซาเมโทเนียม คลอไรด์" (Suxamethonium chloride) และยา "โปรโพฟอล" (Propofol) ซึ่งอยู่ในกลุ่มยาชา เพื่อเป็นการนำสลบ หรือระงับความรู้สึกทั่วไป เพื่อช่วยในการใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในแผนกผู้ป่วยโควิด-19
เอกสารส่งฟ้อง นายแพทย์มอสคา ระบุว่า ผู้ป่วยทั้ง 2 ราย ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องได้รับยาทั้ง 2 ตัวนี้ และยังพบการแก้ไข ตกแต่งรายงานผลการรักษาของผู้ป่วยเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดย นายบาสซี เสียชีวิตในวันที่ 20 มี.ค. เพียง 2 วันหลังการเสียชีวิตของนายปาเล็ตติ
นอกจากนี้ นพ.มอสคา ยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการสังหารผู้ป่วยอีก 3 ราย ในขณะที่เขายังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
ผู้นำญี่ปุ่น ขอโทษปชช.หลังรมต.ไปเที่ยวสถานบันเทิง ละเมิดมาตรการคุมโควิด-19
นายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ สึกะของญี่ปุ่น ขอโทษประชาชน หลังจากเกิดเหตุ รัฐมนตรี 2 คนไปเที่ยวสถานบันเทิงในกรุงโตเกียว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งๆที่รัฐบาลรณรงค์ให้ประชาชนอยู่บ้าน เลี่ยงการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านโดยไม่มีเหตุสมควร หลังเวลา 20.00 น.
ก่อนหน้านี้ สื่อท้องถิ่นของญี่ปุ่น รายงานว่า รัฐมนตรีคนแรกไปเที่ยวสถานบันเทิง 2 แห่งในเขตกินซ่า กรุงโตเกียว หลังการรับประทานอาหารในร้านอาหารอิตาลี คนที่สองไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในเขตกินซ่าเมื่อคืนวันศุกร์ที่แล้ว
กรุงโตเกียว เป็นหนึ่งใน 11 จังหวัดของญี่ปุ่นที่อยู่ภายใต้ภาวะฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. ถึงวันที่ 7 ก.พ.64ภาครัฐขอให้บาร์และร้านอาหารปิดภายในเวลา 20.00 น. ให้บริษัทอนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้าน ขอให้ลดจำนวนพนักงานในสำนักงานลงร้อยละ 70 ให้ประชาชนงดออกจากบ้านหลัง 20.00 น. และจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ลงครึ่งหนึ่ง โดยรัฐบาลจะให้เงินชดเชยสูงสุดเดือนละ 1,800,000 เยน หรือประมาณ 500,000 บาท ให้ร้านอาหารและสถานบันเทิงที่ปฏิบัติตามคำขอให้ปิดร้านเร็วขึ้น
เฟด ยืนยันใช้มาตรการทุกอย่างฟื้นศก. คงดอกเบี้ยระยะสั้น 0.00-0.25%
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับร้อยละ 0.00-0.25 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของเฟดในปีนี้ นอกจากนี้ เฟดระบุว่าจะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงินรวม 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯวงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์/เดือน
แถลงการณ์หลังการประชุมของเฟดระบุว่า เฟดจะยังคงใช้เครื่องมือทุกอย่างในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพื่อให้มีการจ้างงานเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพของราคา
เฟด ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วสหรัฐฯและทั่วโลก ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงานชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และพัฒนาการของวัคซีนต้านโควิด-19
หุ้นวอลล์สตรีท ปิดลบคิดเป็นเปอร์เซ็นต์หนักสุดในรอบ 3 เดือน ผิดหวัง เฟด ไม่มีมาตรการใหม่
ผลการประชุมของเฟด ฉุดตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดวันที่ 27 ม.ค.64 ปิดลบคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ หนักหน่วงที่สุดในรอบ 3 เดือน เนื่องจาก เฟดไม่มีมาตรการใหม่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
-ดาวโจนส์ ลดลง 633.87 จุด หรือร้อยละ 2.05 ปิดที่ 30,303.17 จุด
-เอสแอนด์พี ลดลง 98.85 จุด หรือร้อยละ 2.57 ปิดที่ 3,750.77 จุด
- แนสแดค ลดลง 355.47 จุด หรือร้อยละ 2.61 ปิดที่ 13,270.60 จุด
เช่นเดียวกับ ราคาทองคำ ปิดลบพอสมควร ตามหลังคำแถลงทางนโยบายของเฟด
-ราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนก.พ.64 ลดลง 6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดที่ 1,844.90 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์
-สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนก.พ.64 เพิ่มขึ้น 24 เซนต์ ปิดที่ 52.85 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
-เบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 10 เซนต์ ปิดที่ 55.81 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
'ไบเดน' หารือ 'ปูติน' ส่งสัญญาณใช้ไม้แข็งกับรัสเซีย
ทำเนียบขาว เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เป็นครั้งแรก เพื่อหารือเกี่ยวกับความตั้งใจของทั้งสองประเทศที่จะต่ออายุสนธิสัญญาลดอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ หรือ New Strategic Arms Reduction Treaty (New START) ออกไปอีก 5 ปี โดยทั้งสองประเทศเห็นตรงกันให้คณะทำงานเร่งดำเนินการต่อระยะเวลาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 5 ก.พ.64
สนธิสัญญาควบคุมอาวุธระหว่างสหรัฐฯและรัสเซีย กำหนดข้อจำกัดสำหรับจำนวนหัวรบนิวเคลียร์เชิงกลยุทธ์ไม่เกินประเทศละ 1,550 ลูก และระบบส่งกำลังอีก 700 เครื่อง ตลอดจนเป็นสนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ฉบับสุดท้ายที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ระหว่าง 2 มหาอำนาจด้านนิวเคลียร์
นางเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า ข้อตกลงฉบับนี้มีเนื้อหากำหนดให้สหรัฐฯและรัสเซียติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ฝ่ายละไม่เกิน 1,550 หัวรบ ก่อนหน้านี้ในยุคของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตผู้นำสหรัฐฯ ตั้งเงื่อนไขในการยืดอายุสัญญานี้ โดยเรียกร้องให้จีนต้องเข้ามาร่วมด้วย แต่ก็ไม่เป็นผล
นอกจากนี้ นายไบเดน แสดงความกังวลอย่างตรงไปตรงมา เกี่ยวกับกรณีที่รัสเซียรุกรานยูเครน สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในรัสเซีย รวมถึงกรณีการลอบวางยาพิษนายอเล็กเซ นาวัลนี และจับกุมผู้นำฝ่ายค้านของรัสเซียหลังจากเดินทางกลับจากการรักษาตัวที่เยอรมนี นายไบเดน ยังแสดงความกังวลเรื่องที่รัสเซีย แทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ตลอดจนการเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของทางการและภาคเอกชนสหรัฐฯครั้งใหญ่ผ่านผลิตภัณฑ์จัดการเครือข่ายของบริษัทโซลาร์ วินด์ส รวมทั้งรายงานข่าวที่ว่า รัสเซียเสนอค่าหัวทหารอเมริกันในอัฟกานิสถาน
การหารือทางโทรศัพท์ครั้งแรกระหว่างทั้งสองคน เกิดขึ้นขณะที่ผู้นำใหม่ของสหรัฐฯ กำลังปรับมาใช้นโยบายที่แข็งกร้าวขึ้นต่อรัสเซีย หลังจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ปฏิเสธที่จะวิพากษ์วิจารณ์นายปูตินโดยตรง
สหรัฐฯ ดำเนินคดีม็อบหนุน ‘ทรัมป์’ บุกรัฐสภากว่า 150 คน
เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ประชาชนที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ก่อเหตุบุกอาคารสภาคองเกรส ในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 6 ม.ค.64 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย รวมถึงตำรวจประจำสภา 1 ราย ถูกตั้งข้อหาดำเนินคดีอาญา ตามกฎหมายรัฐบาลกลางกว่า 150 คนแล้ว และกำลังสอบสวนเพื่อดำเนินคดีลงโทษเพิ่มอีก
นายไมเคิล เชอร์วิน รักษาการอัยการสูงสุดกรุงวอชิงตัน เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนประชาชนกว่า 400 คน ที่มีส่วนร่วมในการก่อความรุนแรง โดยเจ้าหน้าที่พิจารณาจากหลักฐาน จากคลิปวิดีโอ รวมทั้งบันทึกในสื่อสังคม และเบาะแสจำนวนมากจากประชาชนที่เห็นเหตุการณ์
อัยการได้ตั้งข้อหาสถานเบา เช่น เข้าสู่อาคารรัฐสภาโดยผิดกฎหมาย และก่อเหตุวุ่นวายในสถานที่ของรัฐ แต่ตอนนี้สำนักงานอัยการได้เพิ่มข้อหาอาญาร้ายแรงกับบุคคลกว่า 150 คน รวมถึง การทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และขัดขวางกระบวนการทางกฎหมายขององค์กรนิติบัญญัติ จากการที่กลุ่มผู้ก่อเหตุหลายร้อยคน พยายามขัดขวางสมาชิกสภาคองเกรส ไม่ให้ลงมติรับรองชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของนายไบเดน ซึ่งข้อหาเหล่านี้กฎหมายกำหนดโทษจำคุก ตั้งแต่ 5–20 ปี
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังสอบสวนผู้ก่อเหตุจำนวนมาก ที่อาจจะเข้าข่ายกระทำผิด ฐานปลุกระดมประชาชนให้ต่อต้านรัฐบาล และสนับสนุน ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 20 ปี จนถึงขณะนี้มีผู้ถูกตั้งข้อหาปลุกระดม 3 คน
นายเชอร์วิน เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญ เนื่องจาก พบว่ามีกลุ่มหัวรุนแรงหลายกลุ่ม ร่วมกันวางแผนและเข้าร่วมก่อเหตุ
ขณะที่นายสตีเวน ดีอันตูโอโน เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ (สำนักงานสอบสวนกลาง) ที่รับผิดชอบในการสอบสวนคดีนี้ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ยังคงตามล่าตัว บุคคลหรือกลุ่มคน ที่ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง แบบไปป์บอมบ์ 2 ลูก ใกล้อาคารสภาคองเกรส ในวันเกิดเหตุ แต่ระเบิดไม่ทำงาน โดยในการตามล่าตัว เอฟบีไอ ประกาศเสนอเงินรางวัล จำนวน 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (2,245,000 บาท) แก่ผู้แจ้งเบาะแส จนนำไปสู่การจับกุมตัว นายดิอันตูโอโน กล่าวว่า คดีนี้ท้าทาย ซับซ้อน และเป็นคดีใหญ่